คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3311/2535

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

เมื่อจำเลยที่ 1 บอกกล่าวเป็นหนังสือให้โจทก์ชำระหนี้และไถ่ถอนจำนอง ถือได้ว่าจำเลยที่ 1 ไม่ประสงค์ให้โจทก์จำนองที่ดินพิพาทเป็นประกันหนี้เงินกู้ของนางสาว บ. ต่อไป ต่อมาจำเลยที่ 1ได้ฟ้องโจทก์กับนางสาว บ. ให้ชำระหนี้ เมื่อโจทก์ได้ชำระหนี้ทั้งหมดแล้ว หนี้ตามสัญญากู้ที่โจทก์จำนองที่ดินพิพาทไว้เป็นประกันและสัญญาจำนองระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 ย่อมระงับสิ้นไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 744(1) หนี้ที่นางสาว บ.กู้เงินจำเลยที่ 1 หลังจากจำเลยที่ 1 ฟ้องโจทก์กับนางสาว บ.จึงหาผูกพันโจทก์ไม่

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 3 ธันวาคม 2522 โจทก์จำนองที่ดินเป็นประกันหนี้ซึ่งนางสาวบุญส่ง แสงคำ กู้ไปจากจำเลยที่ 1เป็นเงิน 20,000 บาท ต่อมาวันที่ 10 ตุลาคม 2529 จำเลยที่ 1ฟ้องนางสาวบุญส่งกับโจทก์ให้ชำระหนี้เงินกู้และบังคับจำนองศาลชั้นต้นพิพากษาตามยอมให้นางสาวบุญส่งกับโจทก์ชำระเงินแก่จำเลยที่ 1 จำนวน 35,954 บาท โจทก์ชำระหนี้ตามคำพิพากษาให้แก่จำเลยที่ 1 ครบถ้วนแล้ว แต่จำเลยทั้งสองไม่ยอมปลดจำนองและคืนโฉนดที่ดินดังกล่าวให้โจทก์ หลังจากโจทก์ฟ้องจำเลยแล้วโจทก์ทราบว่านางสาวบุญส่งยังเป็นลูกหนี้จำเลยที่ 1 อีกจำนวนหนึ่ง แต่ตามสัญญาจำนองโจทก์รับผิดไม่เกิน 40,000 บาท โจทก์ชำระหนี้แทนนางสาวบุญส่งไปแล้วเป็นเงิน 38,754 บาท คงรับผิดอีกเพียง 1,246บาท จึงขอวางเงินจำนวนดังกล่าวเพื่อโจทก์จะได้หลุดพ้นจากความรับผิดตามสัญญาจำนอง ทั้งได้บอกเลิกสัญญาจำนองต่อจำเลยแล้วการที่จำเลยไม่ยอมคืนโฉนดที่ดินให้แก่โจทก์ ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย ขอให้จำเลยปลดจำนองแล้วคืนโฉนดที่ดินให้โจทก์ภายใน7 วัน นับแต่วันที่ศาลมีคำพิพากษา มิฉะนั้นให้ถือคำพิพากษาแสดงเจตนาแทนจำเลยทั้งสองและให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชดใช้เงินจำนวน8,000 บาท แก่โจทก์ กับค่าใช้จ่ายในการปลดจำนอง
จำเลยทั้งสองให้การว่า เมื่อวันที่ 3 ธันวาคม 2522 โจทก์จำนองที่ดินพิพาทเพื่อเป็นประกันหนี้ที่นางสาวบุญส่งกู้เงินจำเลยที่ 1 ปรากฏว่าเมื่อวันที่ 12 มกราคม 2530 นางสาวบุญส่งได้กู้เงินจากโจทก์อีก 21,000 บาท และยังชำระหนี้ไม่ครบถ้วนจำเลยทั้งสองจึงไม่อาจไถ่ถอนจำนองและคืนโฉนดที่ดินพิพาทให้โจทก์ได้ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วมีคำสั่งให้งดสืบพยานโจทก์จำเลยและพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้จำเลยทั้งสองดำเนินการปลดจำนองที่ดินโฉนดที่ 4378 ตำบลบางตาเถร อำเภอสองพี่น้อง จังหวัดสุพรรณบุรี และคืนโฉนดที่ดินดังกล่าวให้แก่โจทก์ภายในกำหนด 7 วันมิฉะนั้นให้ถือคำพิพากษาเป็นการแสดงเจตนาแทนจำเลยทั้งสอง
จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว ข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติว่า เมื่อวันที่ 3 ธันวาคม 2522 โจทก์จำนองที่ดินพิพาทเพื่อประกันหนี้ของนางสาวบุญส่ง แสงคำ ซึ่งกู้จากจำเลยที่ 1 ในเวลาจำนองหรือจะกู้ในเวลาหนึ่งเวลาใดต่อไปในภายหน้าเป็นจำนวนเงินไม่เกิน 40,000 บาท ปรากฏว่าขณะจำนองนางสาวบุญส่งเป็นหนี้จำเลยที่ 1 จำนวน 20,000 บาท เมื่อวันที่ 29 สิงหาคม 2529 จำเลยที่ 1 ได้ทำหนังสือบอกกล่าวโจทก์ให้ชำระหนี้และไถ่ถอนจำนอง แต่โจทก์ไม่ชำระ จำเลยที่ 1 จึงฟ้องนางสาวบุญส่งกับโจทก์ให้ชำระหนี้ ศาลชั้นต้นพิพากษาตามสัญญาประนีประนอมยอมความให้โจทก์ชำระหนี้ โจทก์ชำระหนี้ตามคำพิพากษาทั้งหมดจำนวน 38,754 บาทให้แก่จำเลยที่ 1 แต่ปรากฏว่าวันที่ 12 มกราคม 2530 นางสาวบุญส่งกู้เงินจำเลยที่ 1 จำนวน 21,000 บาท และยังมิได้ชำระหนี้ดังกล่าววันที่ 10 ธันวาคม 2530 โจทก์ทำหนังสือให้จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นประธานกรรมการของจำเลยที่ 1 ปลดจำนองและคืนโฉนดที่ดินพิพาทจำเลยที่ 2 ชี้แจงว่านางสาวบุญส่งยังเป็นลูกหนี้จำเลยที่ 1 จึงไม่อาจปลดจำนองและคืนโฉนดให้โจทก์ วันที่ 14 เมษายน 2531 โจทก์ทำหนังสือบอกเลิกสัญญาจำนอง คดีมีประเด็นในชั้นนี้ว่าสัญญาจำนองระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 ระงับสิ้นไปแล้วหรือไม่ พิเคราะห์แล้วเห็นว่าหนังสือบอกกล่าวที่จำเลยที่ 1 แจ้งให้โจทก์ชำระหนี้และไถ่ถอนจำนองลงวันที่ 29 สิงหาคม 2529 ถือได้ว่าจำเลยที่ 1ไม่ประสงค์ให้โจทก์จำนองเป็นประกันหนี้เงินที่นางสาวบุญส่งกู้อีกต่อไป ต่อมาจำเลยที่ 1 ได้ฟ้องนางสาวบุญส่งกับโจทก์ให้ชำระหนี้ ศาลพิพากษาตามสัญญาประนีประนอมยอมความและโจทก์ได้ชำระหนี้ทั้งหมดแล้ว ดังนั้นหนี้ตามสัญญากู้และสัญญาจำนองระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 จึงระงับสิ้นไป หนี้ที่นางสาวบุญส่งกู้จำเลยที่ 1 ไปเมื่อวันที่ 12 มกราคม 2530 ซึ่งเกิดขึ้นหลังจากจำเลยที่ 1 ฟ้องนางสาวบุญส่งกับโจทก์ให้ชำระหนี้แล้วจึงหาผูกพันโจทก์ไม่
พิพากษายืน

Share