คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3307/2532

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยยื่นคำร้องขอต่อศาลขอให้มีคำสั่งแสดงว่าส่วนหนึ่งของที่พิพาทเป็นของจำเลยโดยการครอบครองปรปักษ์ ศาลมีคำสั่งตามคำร้องขอของจำเลยแล้ว แม้จะไม่ได้ความว่าที่โจทก์ไม่โต้แย้งคัดค้านในการยื่นคำร้องขอดังกล่าวของจำเลย เพราะไม่ทราบเรื่อง ก็ไม่ตัดสิทธิโจทก์ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกและเป็นเจ้าของอันแท้จริงที่จะฟ้องว่าโจทก์มีสิทธิในที่พิพาทดีกว่าจำเลย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของที่ดินโฉนดเลขที่ ๗๗๐๔ ตำบลแหลมบัว อำเภอนครชัยศรี จังหวัดนครปฐม เนื้อที่ ๗ ไร่เศษ โดยรับโอนทางทะเบียนมาจากบิดามารดาเมื่อปี ๒๔๙๕ และครอบครัวทำประโยชน์ตลอดมาจนปัจจุบัน ต่อมาจำเลยยื่นคำร้องขอต่อศาลจังหวัดนครปฐมขอให้มีคำสั่งว่าที่ดินส่วนหนึ่งของโฉนดดังกล่าวเนื้อที่ ๗๔ ตารางวา ตกเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยโดยการครอบครองปรปักษ์ ซึ่งโจทก์ไม่ทราบจึงมิได้คัดค้าน ศาลจังหวัดนครปฐมได้มีคำสั่งตามที่จำเลยขอปรากฏตามคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ ๗๖๙/๒๕๒๕ ของศาลนั้น ทั้งนี้โดยจำเลยเบิกความเท็จทำให้โจทก์เสียหาย ขอให้เพิกถอนคำสั่งดังกล่าวและมีคำสั่งว่าโจทก์เป็นเจ้าของที่ดินตามโฉนดดังกล่าวทั้งแปลง ห้ามจำเลยและบริวารเข้าเกี่ยวข้องต่อไป
จำเลยให้การว่า คำร้องขอให้ศาลแสดงกรรมสิทธิ์และคำเบิกความของจำเลยในคดีนั้นเป็นความจริงทั้งสิ้น การยื่นคำร้องขอดังกล่าวได้ดำเนินกระบวนพิจารณาโดยถูกต้อง การที่โจทก์ไม่ทราบจึงมิได้คัดค้าน มิใช่ความผิดของจำเลย โจทก์ไม่มีอำนาจขอให้เพิกถอนคำสั่งของศาลที่แสดงว่าที่ดินดังกล่าวตกเป็นของจำเลยโดยการครอบครองปรปักษขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า โจทก์ไม่ได้โต้แย้งคัดค้านการขอแสดงกรรมสิทธิ์ของจำเลยเพราะไม่ทราบว่าจำเลยยื่นคำร้องขอเช่นนั้นการยื่นคำร้องขอของจำเลยจึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย พิพากษาว่า คำสั่งของศาลจังหวัดนครปฐมในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ ๗๖๙/๒๕๒๕ ที่ให้จำเลยได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินโฉนดเลขที่ ๗๗๐๔ เนื้อที่ ๗๔ ตารางวา นั้นไม่ผูกพันโจทก์ โจทก์มีสิทธิในที่พิพาทดีกว่าจำเลย ห้ามจำเลยและบริวารเข้ามาเกี่ยวข้องในที่ดินโฉนดเลขที่ ๗๗๐๔ ของโจทก์ เนื่องจากโจทก์เป็นเจ้าของที่ดินอยู่แล้ว คำขอที่ให้สั่งว่าโจทก์เป็นเจ้าของที่ดินโฉนดเลขที่ ๗๗๐๔ ให้ยก
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อกฎหมายว่า คดีมีปัญหาตามที่จำเลยฎีกาว่าโจทก์มีอำนาจฟ้องหรือไม่ ศาลฎีกาพิเคราะห์แล้วประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๑๔๕ (๒) บัญญัติว่าคำพิพากษาที่วินิจฉัยถึงกรรมสิทธิ์แห่งทรัพย์สินใด ๆ เป็นคุณแก่คู่ความฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งอาจใช้ยันแก่บุคคลภายนอกได้ เว้นแต่บุคคลภายนอกนั้นจะพิสูจน์ได้ว่าตนมีสิทธิดีกว่า ซึ่งหมายความว่าคำสั่งดังกล่าวย่อมใช้เป็นหลักฐานยันบุคคลภายนอกได้ แต่ไม่ตัดสิทธิบุคคลภายนอกที่จะนำสืบว่ามีสิทธิดีกว่าผู้ร้องขอ ดังนั้น แม้จะไม่ได้ความว่า ที่โจทก์ไม่โต้แย้งคัดค้านในคดีก่อนเพราะไม่ทราบว่าจำเลยยื่นคำร้องขอให้ศาลมีคำสั่งว่าที่พิพาทตกเป็นของจำเลยโดยการครอบครองปรปักษ์ ดังที่ศาลล่างทั้งสองวินิจฉัย และได้ความว่าศาลมีคำสั่งว่า ที่พิพาทตกเป็นของจำเลยแล้วดังที่จำเลยยกขึ้นฎีกาก็ไม่ตัดสิทธิโจทก์ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกและเป็นเจ้าของอันแท้จริงที่จะฟ้องว่าโจทก์มีสิทธิในที่พิพาทดีกว่าจำเลย แต่ฟังข้อเท็จจริงว่าจำเลยได้กรรมสิทธิ์ในที่พิพาทด้วยการครอบครองปรปักษ์แล้ว
พิพากษากลับให้ยกฟ้องโจทก์

Share