คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 330/2545

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

เงินที่จำเลยนำมาวางศาลเพื่อชำระหนี้ตามคำพิพากษาให้แก่โจทก์ตามที่ศาลออกคำบังคับ ถือได้ว่าเป็นเงินที่ค้างจ่ายอยู่ในศาล โจทก์ผู้มีสิทธิจะต้องเรียกเอาภายในห้าปีนับแต่วันที่จำเลยนำเงินมาวางศาลตาม ป.วิ.พ. มาตรา 323 มิใช่นับจากวันที่โจทก์ผู้มีสิทธิได้ทราบถึงการวางเงิน กรณีมิใช่เป็นเรื่องที่โจทก์ในฐานะเจ้าหนี้ตามคำพิพากษามีสิทธิบังคับเอาแก่จำเลยได้ภายใน 10 ปี นับแต่วันมีคำพิพากษา

ย่อยาว

คดีนี้สืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงิน 73,568.89 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 15 ต่อปี นับแต่วันที่ 1 มิถุนายน 2531 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ กับให้ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความให้ 600 บาท และต่อมาเมื่อวันที่ 28 พฤศจิกายน 2532 จำเลยทั้งสองนำเงินจำนวน 93,452.50 บาท มาวางศาลเพื่อชำระหนี้ตามคำพิพากษาให้แก่โจทก์ วันที่ 9 มีนาคม 2542 โจทก์ยื่นคำขอรับเงินดังกล่าว ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่าตรวจเบิกจ่าย ต่อมาวันที่ 29 มีนาคม 2542 เจ้าหน้าที่ศาลชั้นต้นรายงานว่าเงินดังกล่าวเป็นเงินค้างจ่ายเกิน 5 ปี ต้องตกเป็นของแผ่นดินของดจ่าย ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาต
โจทก์อุทธรณ์คำสั่ง
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า โจทก์มีสิทธิเรียกเอาเงินจำนวน 93,452.50 บาท ที่จำเลยทั้งสองนำมาวางศาลเพื่อชำระหนี้ตามคำพิพากษาให้แก่โจทก์ได้หรือไม่ ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 323 บัญญัติว่า บรรดาเงินต่าง ๆ ที่ค้างจ่ายอยู่ในศาลหรือที่เจ้าพนักงานบังคับคดี ถ้าผู้มีสิทธิมิได้เรียกเอาภายในห้าปี ให้ตกเป็นของแผ่นดิน ซึ่งเงินที่ค้างจ่ายตามบทบัญญัติดังกล่าวหมายถึงเงินทั้งหมดที่มีผู้นำมาวางไว้ในคดีและค้างจ่ายอยู่ในศาล ดังนั้น เงินที่จำเลยทั้งสองนำมาวางศาลเพื่อชำระหนี้ตามคำพิพากษาให้แก่โจทก์ตามที่ศาลออกคำบังคับจำนวน 93,452.50 บาท นั้น ถือได้ว่าเป็นเงินที่ค้างจ่ายอยู่ในศาล และโจทก์ผู้มีสิทธิจะต้องเรียกเอาภายในห้าปี นับแต่วันที่จำเลยทั้งสองนำเงินมาวางศาล มิใช่นับจากวันที่โจทก์ผู้มีสิทธิได้ทราบถึงการวางเงินดังกล่าว คดีนี้ศาลออกคำบังคับให้จำเลยทั้งสองชำระหนี้ตามคำพิพากษาให้แก่โจทก์เมื่อวันที่ 25 กันยายน 2532 จำเลยทั้งสองนำเงินมาวางศาลเพื่อชำระหนี้ตามคำพิพากษาให้แก่โจทก์เมื่อวันที่ 28 พฤศจิกายน 2532 ต่อมาวันที่ 9 มีนาคม 2542 โจทก์จึงยื่นคำขอรับเงินจำนวนดังกล่าวต่อศาล เมื่อโจทก์ผู้มีสิทธิมิได้เรียกเอาเงินดังกล่าวภายในห้าปี ทำให้เงินที่ค้างจ่ายอยู่ในศาลดังกล่าวตกเป็นของแผ่นดิน ศาลจึงไม่อาจจ่ายเงินดังกล่าวให้แก่โจทก์ได้ ที่โจทก์ฎีกาว่า โจทก์ในฐานะเจ้าหนี้ตามคำพิพากษามีสิทธิบังคับเอาแก่จำเลยทั้งสองได้ภายใน 10 ปี นับแต่วันมีคำพิพากษานั้น กรณีนี้มิใช่เป็นเรื่องที่โจทก์บังคับชำระหนี้เอาแก่จำเลยทั้งสองตามคำพิพากษา หากแต่เป็นเงินที่ค้างจ่ายอยู่ในศาล จึงต้องบังคับตามบทบัญญัติแห่ง ป.วิ.พ. มาตรา 323 ฉะนั้น ที่ศาลชั้นต้นงดจ่ายเงินดังกล่าวให้แก่โจทก์จึงชอบแล้ว
พิพากษายืน.

Share