แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
โจทก์ร่วมมอบอำนาจให้ พ. ไปแจ้งความร้องทุกข์ดำเนินคดีแก่จำเลยที่ 2 ในข้อหาออกเช็คโดยเจตนาที่จะไม่ให้มีการใช้เงินตามเช็ค แต่ พ. ไม่ได้ไปแจ้งความร้องทุกข์ให้ดำเนินคดีแก่จำเลยที่ 2 กลับไปแจ้งความร้องทุกข์ให้ดำเนินคดีแก่จำเลยที่ 1 ในฐานะส่วนตัวซึ่งเป็นการร้องทุกข์ที่ไม่ชอบ เพราะ พ. ไม่ใช่ผู้เสียหาย เท่ากับว่าโจทก์ร่วมซึ่งเป็นผู้เสียหายไม่ได้ร้องทุกข์ให้ดำเนินคดีนี้ซึ่งเป็นคดีความผิดต่อส่วนตัวแก่จำเลยทั้งสองต่อพนักงานสอบสวน พนักงานสอบสวนจึงไม่มีอำนาจสอบสวนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 121 และพนักงานอัยการโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยทั้งสองตามมาตรา 120
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2497 มาตรา 3 ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 83 จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ ระหว่างพิจารณา ห้างหุ้นส่วนจำกัดเชียงใหม่บริการผู้เสียหายยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ศาลชั้นต้นอนุญาต ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2497 มาตรา 3ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 ปรับจำเลยที่ 1 เป็นเงิน20,000 บาท จำคุกจำเลยที่ 2 มีกำหนด 9 เดือน หากจำเลยที่ 1ไม่ชำระค่าปรับให้ยึดทรัพย์จำเลยที่ 1 ใช้แทนค่าปรับ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29 จำเลยทั้งสองอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงฟังได้ในเบื้องต้นว่าเมื่อวันที่ 10 เมษายน 2528 จำเลยที่ 2 ได้ลงลายมือชื่อสั่งจ่ายเช็คของธนาคารศรีนคร จำกัด สาขาลำปาง เลขที่ 022969/786ลงวันที่ 10 พฤษภาคม 2528 สั่งจ่ายเงินจำนวน 167,106 บาท และประทับตราสำคัญของจำเลยที่ 1 มอบให้แก่นายพิทักษ์ ปลื้มพิทักษ์กุลหุ้นส่วนคนหนึ่งของโจทก์ร่วมซึ่งเป็นเช็คพิพาทกันคดีนี้ และต่อมาธนาคารตามเช็คได้ปฏิเสธการจ่ายเงินเมื่อวันที่ 29 กรกฎาคม 2528ให้เหตุผลว่ายังไม่มีการตกลงกับธนาคาร และจำเลยทั้งสองยังไม่ได้ชำระเงินตามเช็ค คดีมีปัญหาว่า โจทก์มีอำนาจฟ้องจำเลยทั้งสองหรือไม่ที่โจทก์ฎีกาว่าโจทก์ร่วมได้ร้องทุกข์ การสอบสวนของพนักงานสอบสวนเกี่ยวกับจำเลยทั้งสองชอบด้วยกฎหมาย พนักงานอัยการโจทก์จึงมีอำนาจฟ้องจำเลยทั้งสองได้นั้น ศาลฎีกาเห็นว่า ตามหนังสือมอบอำนาจเอกสารหมาย จ.5 โจทก์ร่วมได้มอบอำนาจให้นายพิทักษ์ปลื้มพิทักษ์กุล ไปแจ้งความร้องทุกข์ดำเนินคดีแก่จำเลยที่ 2ในข้อหาออกเช็คโดยเจตนาที่จะไม่ให้มีการใช้เงินตามเช็คเท่านั้นไม่ได้มอบอำนาจให้นายพิทักษ์ไปแจ้งความร้องทุกข์ให้ดำเนินคดีแก่จำเลยที่ 1 แต่นายพิทักษ์ไม่ได้ไปแจ้งความร้องทุกข์ให้ดำเนินคดีแก่จำเลยที่ 2 กลับไปแจ้งความร้องทุกข์ให้ดำเนินคดีแก่จำเลยที่ 1 ดังปรากฏตามบันทึกการร้องทุกข์มอบคดีอันยอมความได้เอกสารหมาย จ.6 ซึ่งพนักงานสอบสวนได้ทำขึ้น ตามบันทึกการร้องทุกข์มอบคดีอันยอมความได้เอกสารหมาย จ.6 ก็ปรากฏว่านายพิทักษ์แจ้งความร้องทุกข์ให้ดำเนินคดีแก่จำเลยที่ 1 ในฐานะส่วนตัวไม่มีข้อความตอนใดระบุว่านายพิทักษ์แจ้งความร้องทุกข์ให้ดำเนินคดีแก่จำเลยที่ 1 โดยได้รับมอบอำนาจจากโจทก์ร่วมซึ่งเป็นการร้องทุกข์ที่ไม่ชอบเพราะนายพิทักษ์ไม่ใช่ผู้เสียหาย เท่ากับว่าโจทก์ร่วมซึ่งเป็นผู้เสียหายไม่ได้ร้องทุกข์ให้ดำเนินคดีนี้ซึ่งเป็นคดีความผิดต่อส่วนตัวแก่จำเลยทั้งสองต่อพนักงานสอบสวนพนักงานสอบสวนไม่มีอำนาจทำการสอบสวนคดีนี้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 121 พนักงานอัยการโจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยทั้งสองตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 120 แม้นายอรัญ อภิวงศ์ หุ้นส่วนผู้จัดการของจำเลยที่ 1นายพิทักษ์และร้อยตำรวจเอกวสันต์ มัธยมนันทน์ พนักงานสอบสวนเบิกความว่า นายอรัญในนามของโจทก์ร่วมได้มอบอำนาจให้นายพิทักษ์ไปแจ้งความดำเนินคดีแก่จำเลยทั้งสองต่อพนักงานสอบสวนแล้วก็ตามแต่คำเบิกความของพยานโจทก์ดังกล่าวขัดต่อหนังสือมอบอำนาจเอกสารหมาย จ.5 และบันทึกการร้องทุกข์มอบคดีอันยอมความได้ เอกสารหมาย จ.6ย่อมไม่มีน้ำหนักให้รับฟัง ดังนั้นที่โจทก์ฎีกาว่าเมื่อประมวลจากคำเบิกความของพยานบุคคลและเอกสารหมาย จ.5 และ จ.6 ซึ่งเป็นพยานเอกสารแล้ว ฟังได้ว่าโจทก์ร่วมซึ่งเป็นผู้เสียหายได้ร้องทุกข์ให้ดำเนินคดีนี้ต่อพนักงานสอบสวนแล้วนั้นจึงฟังไม่ขึ้น ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโจทก์ชอบแล้ว ฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน