คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3292/2537

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

คดีก่อนศาลพิพากษายกฟ้องเพราะเหตุฟ้องโจทก์เป็นฟ้องเคลือบคลุม ยังมิได้วินิจฉัยชี้ขาดเนื้อหาในประเด็นแห่งคดี ฟ้องของโจทก์ในคดีนี้จึงไม่เป็นฟ้องซ้ำ คำฟ้องของโจทก์ได้บรรยายระบุวันเดือนปีที่จำเลยไปเก็บเงินจากลูกค้าจำนวนเงินที่เก็บแต่ละครั้ง และระบุว่าจำเลยได้ทำบันทึกยอมรับสภาพหนี้กับโจทก์ตามเอกสารท้ายคำฟ้องเป็นการบรรยายฟ้องโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาของโจทก์และคำขอบังคับ ทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาเช่นว่านั้นแล้ว ส่วนรายละเอียดว่าลูกค้าของโจทก์ชื่ออะไรอยู่บ้านเลขที่เท่าไร ถนน ตำบล อำเภออะไร และใบเสร็จรับเงินนั้น โจทก์สามารถนำสืบได้ในชั้นพิจารณาฟ้องของโจทก์จึงไม่เคลือบคลุม

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 เคยเป็นลูกจ้างโจทก์ มีหน้าที่ขับรถขายสินค้าน้ำดื่ม โซดา ขวดและลัง และมีหน้าที่เก็บเงินจากลูกค้า จำเลยที่ 2 เป็นผู้ค้ำประกันการทำงานของจำเลยที่ 1เมื่อระหว่างวันที่ 1 กันยายน 2535 ถึงวันที่ 27 กันยายน2535 จำเลยที่ 1 เก็บเงินจากลูกค้าของโจทก์รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 72,116 บาท แล้วเบียดบังเงินจำนวนดังกล่าวไปเป็นประโยชน์ส่วนตัว โดยตรวจสอบพบการกระทำความผิดของจำเลยที่ 1 เมื่อวันที่ 29 กันยายน 2535 จำเลยที่ 1 จึงทำบันทึกยอมรับสภาพหนี้ไว้กับโจทก์ตามบันทึกยอมรับสภาพหนี้ลงวันที่ 29 กันยายน 2535 รวม 2 ฉบับท้ายคำฟ้อง จำเลยที่ 2ผู้ค้ำประกันการทำงานของจำเลยที่ 1 ให้สัญญาว่าหากจำเลยที่ 1กระทำการใด ๆ ให้โจทก์ได้รับความเสียหาย จำเลยที่ 2 ยอมรับผิดชดใช้เงินให้แก่โจทก์ โดยไม่จำกัดวงเงินพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละสิบห้าต่อปีนับแต่วันที่โจทก์ได้รับความเสียหายจำเลยที่ 2 ยอมรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วม ขอให้บังคับจำเลยที่ 1ชำระเงินจำนวน 76,172 บาท กับดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีจากต้นเงินจำนวน 72,172 บาท นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ กับให้จำเลยที่ 2 ชำระเงินจำนวน80,229 บาท กับดอกเบี้ยอัตราร้อยละสิบห้าต่อปีจากต้นเงิน72,116 บาท นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยที่ 1 ขาดนัดและขาดนัดพิจารณา
จำเลยที่ 2 ให้การว่า ฟ้องโจทก์เคลือบคลุมเพราะขาดรายละเอียดให้เข้าใจได้ว่าจำเลยที่ 2 ในฐานะผู้ค้ำประกันจะต้องรับผิดชอบอย่างไรและไม่ได้ระบุว่าจำเลยที่ 1 เรียกเก็บเงินจากลูกค้าโจทก์คนละกี่ราย แต่ละรายเป็นจำนวนเงินเท่าใดลูกค้าแต่ละรายคือใคร มีภูมิลำเนาอยู่ที่ไหน โจทก์เคยฟ้องจำเลยเป็นคดีหมายเลขแดงที่ 3020/2536 ศาลพิพากษายกฟ้องโจทก์แล้ว โจทก์ฟ้องคดีนี้อีกเป็นฟ้องซ้ำ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลแรงงานกลางพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินจำนวน 72,116 บาท กับดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีจากต้นเงินจำนวนดังกล่าวนับแต่วันที่ 29 กันยายน 2535เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ แต่ทั้งนี้ต้นเงินและดอกเบี้ยจนถึงวันฟ้องรวมแล้วต้องไม่เกิน 76,172 บาท
จำเลยที่ 2 อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่า คดีนี้ศาลแรงงานกลางมีคำสั่งรับอุทธรณ์ของจำเลยที่ 2 เฉพาะข้อ 2 ก. และ ข.พิเคราะห์แล้ว โจทก์อุทธรณ์ข้อ 2 ก. ว่า ฟ้องของโจทก์ในคดีนี้เป็นฟ้องซ้ำกับคดีหมายเลขแดงที่ 3020/2536 โดยคดีดังกล่าวศาลแรงงานกลางพิพากษาว่า โจทก์มิได้บรรยายฟ้องว่าจำเลยที่ 1ไปเก็บเงินจากลูกค้าโจทก์กี่ราย เมื่อใด แต่ละรายจำนวนเท่าใดถือว่าฟ้องของโจทก์ขาดข้อเท็จจริงอันเป็นสาระสำคัญที่จะต้องกล่าวในฟ้อง เพื่อให้จำเลยต่อสู้คดีได้ถูกต้อง ฟ้องโจทก์เป็นฟ้องที่เคลือบคลุมพิพากษายกฟ้องเห็นว่า คดีก่อนศาลยังมิได้วินิจฉัยชี้ขาดเนื้อหาในประเด็นแห่งคดีแต่อย่างใดฟ้องของโจทก์ในคดีนี้จึงไม่เป็นฟ้องซ้ำกับคดีหมายเลขแดงที่ 3020/2536 อุทธรณ์ของจำเลยที่ 2 ในข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
จำเลยที่ 2 อุทธรณ์ในข้อ 2 ข.ว่า ฟ้องของโจทก์เคลือบคลุมเพราะโจทก์บรรยายฟ้องเพียงว่า จำเลยที่ 1 ไปเก็บเงินจากลูกค้าของโจทก์เป็นเงินจำนวน 72,116 บาท ไม่บรรยายให้แจ้งชัดว่าลูกค้าของโจทก์ชื่ออะไร อยู่บ้านเลขที่เท่าไร ถนน ตำบล อำเภออะไร และไม่ยื่นใบเสร็จรับเงินต่อศาลด้วย เห็นว่าคำฟ้องของโจทก์ได้บรรยายระบุวันเดือนปีที่จำเลยที่ 1 ไปเก็บเงินจากลูกค้าจำนวนเงินที่เก็บแต่ละครั้ง และระบุว่าจำเลยที่ 1 ได้ทำบันทึกยอมรับสภาพไว้กับโจทก์ตามเอกสารท้ายคำฟ้องหมาย 3 และ 4 เป็นการบรรยายฟ้องโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาของโจทก์และคำขอบังคับ ทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาเช่นว่านั้นแล้ว ส่วนรายละเอียดที่จำเลยที่ 2 อุทธรณ์โจทก์สามารถนำสืบในชั้นพิจารณาฟ้องของโจทก์จึงไม่เคลือบคลุมอุทธรณ์ของจำเลยที่ 2 ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน

Share