คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 329/2535

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ฎีกาของจำเลยที่ 2 มีข้อความประทับด้วยตรายางของศาลชั้นต้นว่า “ให้มาทราบคำสั่งในวันที่ 22 มีนาคม 2533 ถ้าไม่มาให้ถือว่าทราบคำสั่งแล้ว” โดยมีจำเลยที่ 2 ลงลายมือชื่อไว้และศาลชั้นต้นสั่งให้จำเลยที่ 2 นำส่งสำเนาฎีกาให้โจทก์ใน 7 วัน แม้ศาลชั้นต้นจะสั่งในวันที่ 21มีนาคม 2533 ซึ่งเป็นวันรุ่งขึ้นหลังจากจำเลยที่ 2 ยื่นฎีกาก็ตาม แต่การที่จำเลยที่ 2 ลงลายมือชื่อรับทราบวันนัดให้มาฟังคำสั่งศาลชั้นต้นนั้น เป็นการแสดงเจตนายอมรับว่าจะมาฟังคำสั่งในวันดังกล่าวถ้าไม่มาให้ถือว่าทราบคำสั่งแล้ว จึงต้องถือว่าจำเลยที่ 2 ทราบคำสั่งศาลชั้นต้นแล้วตั้งแต่วันที่ 22มีนาคม 2533 เมื่อจำเลยที่ 2 เพิกเฉยไม่จัดการนำส่งสำเนาฎีกาภายในเวลาที่ศาลชั้นต้นกำหนดไว้จึงเป็นการทิ้งฟ้องตาม ป.วิ.พ. มาตรา 174 (2)
ฎีกาของจำเลยที่ 3 มีข้อความประทับด้วยตรายางของศาลชั้นต้นว่า “ให้มาทราบคำสั่งในวันที่ 23 มีนาคม 2533 ถ้าไม่มาให้ถือว่าทราบคำสั่งแล้ว” แต่ผู้ที่ลงลายมือชื่อไว้ใต้ตราประทับดังกล่าวไม่ใช่จำเลยที่ 3 หรือทนายจำเลยที่ 3 ทั้งไม่ปรากฏว่าเกี่ยวข้องกับจำเลยที่ 3 หรือทนายจำเลยที่ 3 อย่างไร ดังนั้นการที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้จำเลยที่ 3 นำส่งสำเนาฎีกาให้โจทก์ใน 7 วันแต่เป็นการสั่งในวันที่ 21 มีนาคม 2533 ซึ่งเป็นวันรุ่งขึ้นหลังจากจำเลยที่ 3 ยื่นฎีกา จึงถือไม่ได้ว่าจำเลยที่ 3 ทราบคำสั่งศาลชั้นต้นแล้ว แม้จำเลยที่ 3 ไม่นำส่งสำเนาฎีกาภายในเวลาที่ศาลชั้นต้นกำหนดไว้ ก็ไม่เป็นการทิ้งฟ้องตาม ป.วิ.พ. มาตรา 174 (2)

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากโจทก์ฟ้องขอให้จำเลยที่ ๑ ชำระเงินลงทุน ๒๖๐,๐๐๐ บาทคืนโจทก์ ถ้าจำเลยที่ ๑ ไม่ชำระก็ให้จำเลยที่ ๒ ที่ ๓ ร่วมกันชำระพร้อมดอกเบี้ย
จำเลยทั้งสามให้การต่อสู้ว่าไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ ๑ ชำระเงินลงทุนรวม ๒๖๐,๐๐๐ บาท ให้โจทก์พร้อมดอกเบี้ย ให้ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ ๒ ที่ ๓
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ถ้าจำเลยที่ ๑ ไม่ชำระเงินจำนวน ๒๖๐,๐๐๐ บาทให้โจทก์ ก็ให้จำเลยที่ ๒ ที่ ๓ ร่วมกันใช้เงินตามเช็คจำนวน ๒๐๐,๐๐๐ บาท ให้แก่โจทก์ พร้อมด้วยดอกเบี้ย
จำเลยที่ ๒ และที่ ๓ ต่างยื่นฎีกาต่อศาลชั้นต้นเมื่อวันที่ ๒๐ มีนาคม ๒๕๓๓ศาลชั้นต้นสั่งฎีกาของจำเลยที่ ๒ และของจำเลยที่ ๓ ทำนองเดียวกันว่า รับฎีกา สำเนาให้โจทก์ให้จำเลยนำส่งสำเนาฎีกาให้โจทก์ภายใน ๗ วัน ถ้าส่งไม่ได้ให้แถลงภายใน ๑๕ วัน นับแต่วันส่งไม่ได้ เพื่อดำเนินการต่อไป มิฉะนั้นถือว่าทิ้งฎีกา แต่จำเลยที่ ๒ และที่ ๓ ไม่มาเสียค่าธรรมเนียมการส่งหมายนัดและสำเนาฎีกาภายในกำหนด
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ปรากฏตามฎีกาของจำเลยที่ ๒ มีข้อความประทับด้วยตรายางของศาลชั้นต้นว่า “ให้มาทราบคำสั่งในวันที่ ๒๒ มีนาคม ๒๕๓๓ ถ้าไม่มาให้ถือว่าทราบคำสั่งแล้ว”โดยมีจำเลยที่ ๒ ลงลายมือชื่อไว้ และศาลชั้นต้นสั่งให้จำเลยที่ ๒ นำส่งสำเนาฎีกาให้โจทก์ใน ๗ วันแม้ศาลชั้นต้นจะสั่งในวันที่ ๒๑ มีนาคม ๒๕๓๓ ซึ่งเป็นวันรุ่งขึ้นหลังจากจำเลยที่ ๒ ยื่นฎีกาก็ตาม แต่การที่จำเลยที่ ๒ ลงลายมือชื่อรับทราบวันนัดให้มาฟังคำสั่งศาลชั้นต้นนั้น เป็นการแสดงเจตนายอมรับว่าจะมาฟังคำสั่งในวันดังกล่าว ถ้าไม่มาให้ถือว่าทราบคำสั่งแล้ว จึงต้องถือว่าจำเลยที่ ๒ทราบคำสั่งศาลชั้นต้นแล้วตั้งแต่วันที่ ๒๒ มีนาคม ๒๕๓๓ เมื่อจำเลยที่ ๒ เพิกเฉยไม่จัดการส่งสำเนาฎีกาภายในเวลาที่ศาลชั้นต้นกำหนดไว้ จึงเป็นการทิ้งฟ้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๑๗๔ (๒)
ส่วนฎีกาของจำเลยที่ ๓ ซึ่งมีข้อความประทับด้วยตรายางของศาลชั้นต้นว่า”ให้มาทราบคำสั่งในวันที่ ๒๓ มีนาคม ๒๕๓๓ ถ้าไม่มาให้ถือว่าทราบคำสั่งแล้ว” แต่ปรากฏว่าผู้ที่ลงลายมือชื่อไว้ใต้ตราประทับดังกล่าวไม่ใช่จำเลยที่ ๓ หรือทนายจำเลยที่ ๓ ทั้งไม่ปรากฏว่าเกี่ยวข้องกับจำเลยที่ ๓ หรือทนายจำเลยที่ ๓ อย่างไร ดังนั้น การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้จำเลยที่ ๓นำส่งสำเนาฎีกาให้โจทก์ใน ๗ วัน แต่เป็นการสั่งในวันที่ ๒๑ มีนาคม ๒๕๓๓ ซึ่งเป็นวันรุ่งขึ้นหลังจากจำเลยที่ ๓ ยื่นฎีกา จึงถือไม่ได้ว่าจำเลยที่ ๓ ทราบคำสั่งศาลชั้นต้นแล้ว แม้จำเลยที่ ๓ไม่นำส่งสำเนาฎีกาภายในเวลาที่ศาลชั้นต้นกำหนดไว้ ก็ไม่เป็นการทิ้งฟ้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๑๗๔ (๒)
ให้ศาลชั้นต้นแจ้งคำสั่งศาลชั้นต้นลงวันที่ ๒๑ มีนาคม ๒๕๓๓ ให้จำเลยที่ ๓ทราบ แล้วดำเนินการต่อไป และให้จำหน่ายคดีของจำเลยที่ ๒ ออกจากสารบบความของศาลฎีกา.

Share