คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3287/2530

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

แม้สัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีที่จำเลยทำไว้กับโจทก์ระบุว่าจำเลยจะชำระหนี้ให้โจทก์ภายในวันที่ 9 มกราคม 2518 แต่เมื่อครบกำหนดแล้วมีการต่ออายุสัญญาต่อไปอีกจนถึงวันที่ 9 มกราคม 2519 และรับรองยอดเงินที่ค้างชำระกับให้สัญญาว่าสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีมีผลใช้บังคับจนกว่าจำเลยจะได้ชำระเงินให้โจทก์เสร็จสิ้น แต่ก็ไม่มีข้อสัญญาว่าเมื่อสิ้นกำหนดระยะเวลาแล้วสัญญาเป็นอันเลิกกันทันที แม้ผู้จำนองจะนำเงินมาชำระให้โจทก์ในวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2521 เพื่อไถ่ถอนจำนอง บัญชีเดินสะพัดระหว่างโจทก์กับจำเลยก็ยังมีอยู่เพราะยังชำระหนี้ตามบัญชีเดินสะพัดไม่หมดและไม่มีฝ่ายใดเลิก สัญญา ดังนี้โจทก์ย่อมมีสิทธิคิดดอกเบี้ยทบต้นจากจำเลยได้จนถึงวันบอกเลิกสัญญา แต่หลังจากวันบอกเลิกสัญญาไปแล้วโจทก์ไม่มีสิทธิคิดดอกเบี้ยทบต้นอีก คงคิดได้แต่ดอกเบี้ยธรรมดาเท่านั้น

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่าจำเลยที่ ๑ เป็นนิติบุคคล มีจำเลยที่ ๒ เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการ จำเลยที่ ๑ ได้ทำหนังสือกู้เบิกเงินเกินบัญชีกับโจทก์ในวงเงิน ๕๐๐,๐๐๐ บาท ตกลงเสียดอกเบี้ยให้โจทก์ในอัตราร้อยละ ๑๓ ต่อปี ทบต้นสำหรับยอดหนี้ที่อยู่ในวงเงินและอัตราร้อยละ ๑๔ ต่อปีทบต้นสำหรับยอดหนี้ที่เกินจากวงเงินและจำเลยที่ ๑ สัญญาว่าจะผ่อนชำระหนี้ให้โจทก์เสร็จสิ้นภายในวันที่ ๙ มกราคม ๒๕๑๘ เพื่อเป็นหลักประกันในการกู้เบิกเงินเกินบัญชี จ่าเอกสอ ช่างสมบูรณ์ และพันจ่าเอกบุญมา ช่างสมบูรณ์ ได้จดทะเบียนจำนองที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างเป็นประกันเมื่อสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีดังกล่าวครบกำหนดชำระ จำเลยที่ ๑ โดยจำเลยที่ ๒ ได้ขอต่อสัญญาออกไปอีก ๑ ครั้ง ครบกำหนดชำระในวันที่ ๙ มกราคม ๒๕๑๙ ได้มีการตกลงเปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ยใหม่ โดยจำเลยที่ ๑ ตกลงชำระให้แก่โจทก์ในอัตราร้อยละ ๑๔ ต่อปี ทบต้นสำหรับวงเงิน ๕๐๐,๐๐๐ บาท หากมียอดหนี้เกินวงเงินส่วนที่เกินยินยอมให้โจทก์คิดดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ ๑๕ ต่อปีทบต้น คิดเพียงวันที่ ๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๒๑ จำเลยที่ ๑ เป็นหนี้โจทก์เป็นเงิน ๑,๕๐๐,๐๐๖.๖๒ บาท และในวันที่ ๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๒๑ ผู้จำนองได้จัดการชำระหนี้ให้แก่โจทก์เป็นบางส่วนเพื่อไถ่ถอนจำนองที่ดินเป็นเงิน ๗๕๐,๐๐๐ บาท คิดเพียงวันที่ ๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๒๑ จำเลยที่ ๑ คงค้างชำระหนี้โจทก์เป็นเงิน ๗๕๐,๐๐๖.๖๒ บาท โจทก์คิดดอกเบี้ยทบต้นถึงวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๒๕ และคิดดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ ๑๕ ต่อปี ไม่ทบต้นในต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๒๕ ถึงวันฟ้องรวมแล้วจำเลยทั้งสองเป็นหนี้โจทก์เป็นเงิน ๑,๕๔๑,๓๐๑.๓๕ บาท ขอให้พิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันหรือแทนกันชำระเงิน ๑,๕๔๑,๓๐๑.๓๕ บาทให้แก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๑๕ ต่อปี ไม่ทบต้นในต้นเงิน ๑,๕๐๖,๐๒๓.๒๗ บาท นับแต่วันถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ให้การว่าจำเลยทั้งสองเปิดบัญชีเดินสะพัดกับโจทก์แต่มีกำหนดเวลาแน่นอน คือจะต้องหักทอนบัญชีกันในวันที่ ๙ มกราคม ๒๕๑๙ บัญชีเดินสะพัดจึงสิ้นสุดลงในวันดังกล่าว โจทก์จำเลยได้หักทอนบัญชีกันแล้วแต่วันที่ ๙ มกราคม ๒๕๑๙ โจทก์จึงไม่มีอำนาจคิดดอกเบี้ยทบต้นในเงินที่จำเลยค้างชำระ เมื่อหักทอนบัญชีกันแล้วจำเลยเป็นหนี้โจทก์อยู่เพียง ๔๓๗,๒๖๖.๐๕ บาท และหลังจากวันที่ ๙ มกราคม ๒๕๑๙ โจทก์คิดดอกเบี้ยจากจำเลยในยอดเงิน ๔๓๗,๒๖๖.๐๕ บาท ได้ร้อยละ ๑๔ ต่อปีตามสัญญา และหลังจากนั้นถึงวันที่ ๒๕ กันยายน ๒๕๒๕ จำเลยเป็นหนี้โจทก์เพียง ๗๘๙,๒๖๖.๒๓ บาท เงินจำนวนหนี้ผู้ค้ำประกันได้ชำระให้โจทก์แล้ว ๗๕๐,๐๐๐ บาท จำเลยจึงยังเป็นหนี้โจทก์อยู่เพียง ๓๙,๒๖๖.๒๓ บาท ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว เห็นว่าสัญญาระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๑ กำหนดระยะเวลาสิ้นสุดไว้ในวันที่ ๙ มกราคม ๒๕๑๔ แต่เมื่อครบกำหนดแล้วโจทก์จำเลยที่ ๑ ยังเดินสะพัดทางบัญชีกันต่อไปโดยไม่ได้กำหนดระยะเวลาสิ้นสุดและระยะเวลาหักทอนบัญชีกันไว้ จึงต้องหักทอนบัญชีกันทุกระยะ ๖ เดือนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๘๕๘ ในบัญชีเอกสารหมาย จ.๙ ได้มีหักทอนกันครั้งสุดท้ายเมื่อวันที่ ๑๕ มิถุนายน ๒๕๑๙ การหักทอนบัญชีครั้งต่อไปอย่างช้าควรจะหักทอนกันในเดือนธันวาคม ๒๕๑๙ แต่ก็ไม่มีการหักทอนบัญชีกัน จนถึงวันที่ ๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๒๑ ผู้จำนองไถ่ถอนจำนองชำระหนี้บางส่วนให้โจทก์ไปซึ่งเท่ากับโจทก์ใช้สิทธิบังคับหนี้โดยถือว่าไม่มีสัญญาบัญชีเดินสะพัด มาแต่วันครบกำหนดรอบหักทอนบัญชีกันแล้ว ด้วยเหตุนี้พฤติการณ์ระหว่างโจทก์จำเลยที่ ๑ ดังกล่าวมาย่อมฟังได้ว่ามีเจตนาเลิกสัญญาบัญชีเดินสะพัดต่อกันนับแต่วันที่ ๓๐ ธันวาคม ๒๕๑๙ แล้วโดยปริยาย หลังจากนั้นโจทก์จะคิดดอกเบี้ยทบต้นไม่ได้ วันที่ ๓๐ ธันวาคม ๒๕๑๙ จำเลยที่ ๑ เป็นหนี้โจทก์ทั้งต้นเงินและดอกเบี้ยทบต้นรวมเป็นเงิน ๑,๒๗๗,๑๒๐.๘๗ บาท จำเลยที่ ๑ ต้องชำระให้โจทก์ จำเลยที่ ๒ เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการและเป็นหุ้นส่วนประเภทไม่จำกัดความรับผิด จึงต้องร่วมกับจำเลยที่ ๑ รับผิดต่อโจทก์ด้วยเมื่อคิดดอกเบี้ยร้อยละ ๑๕ ต่อไปถึงวันที่ ๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๒๑ อันเป็นวันที่ผู้จำนองชำระหนี้ ๗๕๐,๐๐๐ บาท ให้แก่โจทก์แล้วเป็นดอกเบี้ย ๒๑๑,๕๑๒.๒๑ บาท นำเงินที่ผู้จำนองชำระให้ไปหักชำระดอกเบี้ยแล้วคงเหลือชำระต้นเงิน ๕๓๘,๔๘๗.๗๙ บาท หักแล้วจำเลยทั้งสองคงต้องรับผิดชำระต้นเงินให้ก่โจทก์ในวันดังกล่าวเป็นเงิน ๗๓๘,๖๓๓.๐๘ บาท เงินจำนวนนี้จำเลยทั้งสองไม่ชำระจึงต้องเสียดอกเบี้ยร้อยละ ๑๕ ต่อปีนับแต่วันที่ ๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๒๑ จนกว่าจะชำระเสร็จให้แก่โจทก์พิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงิน ๗๓๘,๖๓๓.๐๘ บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ ๑๕ ต่อปีในต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันที่ ๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๒๑ จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
โจทก์อุทธรณ์ว่าสัญญาบัญชีเดินสะพัดระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๑ เลิกกันเมื่อโจทก์บอกเลิกสัญญาเมื่อวันที่ ๒๘ ตุลาคม ๒๕๒๕ โจทก์จึงคิดดอกเบี้ยทบต้นได้จนถึงวันบอกเลิกสัญญา แต่คดีนี้โจทก์ขอคิดดอกเบี้ยทบต้นถึงวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๒๕ เท่านั้น
ศาลอุทธรณ์พิจารณาแล้ว เห็นว่าบัญชีเดินสะพัดระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๑ คงเดินสะพัดเรื่อยมาจนกระทั่งโจทก์บอกเลิกสัญญาซึ่งโจทก์ขอคิดดอกเบี้ยถึงวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๒๕ ซึ่งเป็นวันก่อนที่โจทก์จะบอกเลิกสัญญาโจทก์จึงคิดได้ถึงวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๒๕ ซึ่งจำเลยที่ ๑ ค้างชำระโจทก์อยู่ ๑,๕๐๖,๐๒๓.๒๗ บาท และหลังจากนั้นโจทก์คิดดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ ๑๕ ต่อปีอย่างไม่ทบต้นตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๒๕ จนถึงวันฟ้องซึ่งรวมเป็นเงินที่จำเลยที่ ๑ ค้างชำระโจทก์เป็นเงินทั้งสิ้น ๑,๕๔๑,๓๐๑.๓๕ บาท พิพากษาแก้เป็นว่าให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินจำนวน ๑,๕๔๑,๓๐๑.๓๕ บาท ให้แก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ ๑๕ ต่อปีจากต้นเงินจำนวน ๑,๕๐๖,๐๒๓.๒๗ บาท นับแต่วันถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเงินเสร็จแก่โจทก์
จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่จำเลยทั้งสองฎีกาว่าสัญญาบัญชีเดินสะพัดระหว่างโจทก์จำเลยเลิกกันแล้วตั้งแต่วันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๑๙ หลังจากนั้นโจทก์จะคิดดอกเบี้ยทบต้นไม่ได้เพราะเมื่อสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีสิ้นสุดลงเมื่อวันที่ ๙ มกราคม ๒๕๑๙ สัญญาระหว่างโจทก์จำเลยต่อจากนั้นไปจึงไม่ได้กำหนดเวลาหักทอนบัญชีกันไว้ จึงต้องหักทอนกันทุก ๆ ๖ เดือนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๘๕๘ ดังนี้บัญชีเดินสะพัดของจำเลยจึงสิ้นสุดลงเมื่อครบ ๖ เดือน คือตั้งแต่วันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๑๙ หลังจากนั้นโจทก์ต้องคิดดอกเบี้ยธรรมดานั้นเห็นว่าแม้สัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีที่จำเลยทำไว้กับโจทก์ตามเอกสาร หมาย จ.๖ ข้อ ๔ ระบุว่าจำเลยที่ ๑ จะชำระหนี้ให้โจทก์หมดภายในวันที่ ๙ มกราคม ๒๕๑๘ ก็ตาม แต่เมื่อครบกำหนดแล้วได้มีการต่ออายุสัญญาออกไปอีกจนถึงวันที่ ๙ มกราคม ๒๕๑๙ ตามเอกสารหมาย จ.๗ และรับรองยอดเงินที่ค้างชำระกับให้สัญญาว่าสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีมีผลใช้บังคับตลอดไปจนกว่าจำเลยจะได้ชำระ เงินให้โจทก์เสร็จสิ้น แต่ก็ไม่มีข้อสัญญาว่าเมื่อสิ้นกำหนดระยะเวลาแล้ว สัญญาเป็นอันเลิกกันทันทีที่แม้หลังจากวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๑๙ จำเลยที่ ๑ ไม่เคยนำเงินเข้าบัญชีเพื่อหักทอนอีกเลยก็ตาม บัญชีเดินสะพัดระหว่างโจทก์และจำเลยที่ ๑ ก็ยังคงเดินสะพัดเรื่อยมาเพราะไม่มีฝ่ายใดเลิกสัญญา แม้ผู้จำนองจะนำเงินมาชำระให้โจทก์ในวันที่ ๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๒๑ เพื่อไถ่ถอนจำนองก็ตาม บัญชีเดินสะพัดระหว่างโจทก์และจำเลยที่ ๑ ก็ยังมีอยู่เพราะยังชำระหนี้ตามบัญชีเดินสะพัดไม่หมดและยังคงเดินสะพัดเรื่อยไป โจทก์ย่อมมีสิทธิคิดดอกเบี้ยทบต้นจากจำเลยที่ ๑ ได้จนถึงวันที่โจทก์บอกเลิกสัญญาโจทก์ขอคิดถึงวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๒๕ ซึ่งเป็นวันก่อนที่โจทก์จะบอกเลิกสัญญา หลังจากวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๒๕ ไปแล้วโจทก์จึงไม่มีสิทธิคิดดอกเบี้ยทบต้นอีก คงคิดได้แต่ดอกเบี้ยธรรมดา หาใช่เมื่อสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีครบกำหนดแล้ว ถือว่าคู่สัญญามิได้กำหนดเวลาหักทอนบัญชีกันไว้ ต้องคิดหักทอนกันทุก ๖ เดือนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๘๕๘ ดังที่จำเลยทั้งสองฎีกาไม่
พิพากษายืน

Share