แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
แม้ ก. ส. และร้อยตำรวจเอก ว. พยานโจทก์ทั้งสามเป็นพยานบอกเล่า และผู้ตายผู้บอกเล่าไม่ได้ มาเบิกความต่อศาลเพราะถูกยิงถึงแก่ความตายก็ตาม แต่การที่ผู้ตายบอกแก่พยานโจทก์ทั้งสามทันทีที่พยานโจทก์ทั้งสามพบผู้ตายที่โรงพยาบาลพัทลุงภายหลังเกิดเหตุประมาณ 3 ชั่วโมง ว่าคนร้ายที่ใช้อาวุธปืนยิงผู้ตายเป็นรองนายกองค์การบริหารส่วนตำบลทุ่งนารี และเมื่อร้อยตำรวจเอก ว. ให้ผู้ตายดูภาพถ่ายผู้ต้องสงสัยจากแฟ้มอาชญากรรมรวมทั้งภาพถ่ายจำเลย ผู้ตายก็ชี้ภาพถ่ายจำเลยว่าเป็นคนร้ายทันที แสดงว่าผู้ตายยังมีสติสัมปชัญญะดีและจำคนร้ายได้แน่นอนว่าเป็นจำเลยจริง และคำบอกเล่าของผู้ตายเช่นนี้รับฟังได้ในฐานะที่เป็นคำระบุบอกกล่าวในเวลาใกล้ชิดกับเหตุอย่างมาก อันไม่มีโอกาสที่ผู้ตายจะคิดใส่ความหรือปรักปรำจำเลยได้ทัน จึงรับฟังประกอบพยานหลักฐานอื่นได้ เมื่อพิจารณาประกอบบาดแผลของผู้ตายที่มีรอยครูดถลอกที่บริเวณข้อศอกขวาและเข่าขวากับกองเลือดของผู้ตาย รองเท้าแตะ อาวุธมีดที่อยู่ในที่เกิดเหตุ และสำเนาใบสำคัญการสมรสของผู้ตายที่ยังมีคราบเลือดติดอยู่ซึ่งร้อยตำรวจโท ส. ตรวจยึดไว้จากที่เกิดเหตุ ทำให้น่าเชื่อตามคำเบิกความของ ส. และร้อยตำรวจเอก ว. พยานโจทก์ที่ว่าวันเกิดเหตุผู้ตายไปพบนายกองค์การบริหารส่วนตำบลทุ่งนารี โดยนำสำเนาทะเบียนสมรสดังกล่าวไปเป็นหลักฐาน หลังจากนั้นผู้ตายออกมารอรถโดยสารประจำทางที่ศาลาที่เกิดเหตุและมีคนร้ายลงจากรถยนต์มายิงผู้ตายในระยะใกล้แล้วเกิดการต่อสู้กันด้วย ดังนี้ พยานหลักฐานโจทก์ประกอบกันจึงรับฟังได้โดยปราศจากข้อสงสัยว่า จำเลยเป็นคนร้ายที่ใช้อาวุธปืนยิงผู้ตายจริง
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องและแก้ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33, 91, 288, 371 พระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ.2490 มาตรา 7, 8 ทวิ, 72, 72 ทวิ และริบของกลาง
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 ให้ประหารชีวิต ริบหัวกระสุนปืนของกลาง คืนรองเท้าแตะและมีดของกลางแก่เจ้าของ ข้อหาอื่นนอกจากนี้ให้ยก
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 9 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องในความผิดฐานฆ่าผู้อื่นตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 เสียด้วย นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า จำเลยกระทำความผิดตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นหรือไม่ โจทก์มีนางแกวด มารดาผู้ตายเป็นพยาน นอกจากนี้โจทก์ยังมีนายสมจิตร์ พี่ชายผู้ตายและร้อยตำรวจเอกวิสูตร เป็นพยานเบิกความสนับสนุน โดยนายสมจิตร์เบิกความว่า หลังจากทราบเหตุพยานไปที่โรงพยาบาลพัทลุง เห็นผู้ตายนอนบนเตียงสามารถพูดคุยได้ตามปกติ พยานถามผู้ตายว่าไปทำไมที่ป่าบอน ผู้ตายบอกว่าไปเจรจากับนายกองค์การบริหารส่วนตำบลทุ่งนารี โดยนำทะเบียนสมรสไปเป็นหลักฐาน หลังจากนั้นผู้ตายออกมารอรถโดยสารประจำทางอยู่ที่ศาลาที่เกิดเหตุ มีรถยนต์กระบะขับมาจอดลักษณะเฉียงตัดหน้า คนร้ายลงจากรถทางด้านซ้ายและชักอาวุธปืนออกมา โดยบอกว่าคนร้ายเป็นรองนายกองค์การบริหารส่วนตำบลทุ่งนารีและบอกชื่อให้พยานทราบ แต่พยานจำชื่อไม่ได้ ผู้ตายยังเห็นนางนัทลิตานั่งอยู่ในรถ ผู้ตายพยายามวิ่งหนีแต่ก็ถูกยิง เมื่อพูดคุยเสร็จเจ้าพนักงานตำรวจนำภาพถ่ายคนร้ายให้ผู้ตายดู ผู้ตายชี้ภาพถ่ายจำเลยว่าเป็นคนร้าย ส่วนร้อยตำรวจเอกวิสูตรเบิกความยืนยันว่า เมื่อพยานรับแจ้งเหตุแล้ว ผู้บังคับบัญชาสั่งให้พยานนำภาพถ่ายผู้ต้องสงสัยจากแฟ้มอาชญากรรมของสถานีตำรวจภูธรป่าบอนกับภาพถ่ายจำเลยไปให้ผู้ตายดูเพราะจำเลยสนิทสนมกับภริยาผู้ตาย พยานไปถึงโรงพยาบาลพัทลุงประมาณ 16 นาฬิกา พบผู้ตายนอนอยู่ในห้องฉุกเฉิน มีสติสัมปชัญญะดี พูดคุยรู้เรื่อง ผู้ตายบอกว่ามีคนร้ายลงจากรถยนต์กระบะมายิงผู้ตายระยะใกล้ มีการกอดรัดฟัดเหวี่ยงกันด้วย พยานถามว่าจำหน้าคนร้ายได้หรือไม่ ผู้ตายบอกว่าจำได้ พยานนำภาพถ่ายบุคคลประมาณ 9 ภาพ ให้ผู้ตายดู ผู้ตายชี้ภาพถ่ายจำเลยว่าเป็นคนร้ายที่ใช้อาวุธปืนยิงผู้ตาย พยานรู้จักจำเลยดีเนื่องจากเคยปฏิบัติงานร่วมกันมานาน จำเลยเป็นรองนายกองค์การบริหารส่วนตำบลทุ่งนารี เห็นว่า แม้นางแกวด นายสมจิตร์และร้อยตำรวจเอกวิสูตรพยานโจทก์ทั้งสามเป็นพยานบอกเล่า และผู้ตายผู้บอกเล่าไม่ได้มาเบิกความต่อศาลเพราะถูกยิงถึงแก่ความตายก็ตาม แต่การที่ผู้ตายบอกแก่พยานโจทก์ทั้งสามทันทีที่พยานโจทก์ทั้งสามพบผู้ตายที่โรงพยาบาลพัทลุงภายหลังเกิดเหตุประมาณ 3 ชั่วโมง ว่าคนร้ายที่ใช้อาวุธปืนยิงผู้ตายเป็นรองนายกองค์การบริหารส่วนตำบลทุ่งนารี และเมื่อร้อยตำรวจเอกวิสูตรให้ผู้ตายดูภาพถ่ายผู้ต้องสงสัยจากแฟ้มอาชญากรรมรวมทั้งภาพถ่ายจำเลย ผู้ตายก็ชี้ภาพถ่ายจำเลยว่าเป็นคนร้ายทันทีตามภาพถ่าย แสดงว่าผู้ตายยังมีสติสัมปชัญญะดีและจำคนร้ายได้แน่นอนว่าเป็นจำเลยจริง และคำบอกเล่าของผู้ตายเช่นนี้รับฟังได้ในฐานะที่เป็นคำระบุบอกกล่าวในเวลาใกล้ชิดกับเหตุอย่างมาก อันไม่มีโอกาสที่ผู้ตายจะคิดใส่ความหรือปรักปรำจำเลยได้ทัน จึงรับฟังประกอบพยานหลักฐานอื่นได้ เมื่อพิจารณาประกอบบาดแผลของผู้ตายที่มีรอยครูดถลอกที่บริเวณข้อศอกขวาและเข่าขวา กับกองเลือดของผู้ตาย รองเท้าแตะ และอาวุธมีดที่อยู่ในที่เกิดเหตุตามภาพถ่ายประกอบสำนวนการสอบสวนและสำเนาใบสำคัญการสมรสของผู้ตาย ที่ยังมีคราบเลือดติดอยู่ซึ่งร้อยตำรวจโทสถาพร ตรวจยึดได้จากที่เกิดเหตุ ทำให้น่าเชื่อตามคำเบิกความของนายสมจิตร์และร้อยตำรวจเอกวิสูตรพยานโจทก์ที่ว่าวันเกิดเหตุผู้ตายไปพบนายกองค์การบริหารส่วนตำบลทุ่งนารี โดยนำสำเนาทะเบียนสมรสดังกล่าวไปเป็นหลักฐาน หลังจากนั้นผู้ตายออกมารอรถโดยสารประจำทางที่ศาลาที่เกิดเหตุ แล้วมีคนร้ายลงจากรถยนต์มายิงผู้ตายในระยะใกล้แล้วเกิดการต่อสู้กันด้วย ดังนี้ พยานหลักฐานโจทก์ประกอบกันจึงรับฟังได้โดยปราศจากข้อสงสัยว่า จำเลยเป็นคนร้ายที่ใช้อาวุธปืนยิงผู้ตายจริง พยานฐานที่อยู่ของจำเลยไม่มีน้ำหนักน่าเชื่อถือ ไม่อาจรับฟังหักล้างพยานหลักฐานของโจทก์ได้ ส่วนที่ศาลอุทธรณ์ภาค 9 เห็นว่า การที่ผู้ตายร้องว่าทำไม แทนที่จะเอ่ยชื่อจำเลย ส่อแสดงว่าคนร้ายไม่ใช่จำเลยนั้น ศาลฎีกาเห็นว่า ที่ผู้ตายร้องเช่นนั้นเป็นการร้องขึ้นลอย ๆ ผู้ตายอาจสงสัยว่าจำเลยยิงผู้ตายทำไมก็เป็นได้ หาใช่ข้อพิรุธไม่ และที่ศาลอุทธรณ์ภาค 9 เห็นว่า การที่ผู้ตายชี้ยืนยันภาพถ่ายจำเลย ซึ่งนายแพทย์สมบูรณ์ให้ความเห็นว่า โดยทั่วไปสายตาคนไข้ที่มีอาการแบบนี้จะมีลักษณะมองไม่ชัด หากให้มองดูภาพก็จะมีลักษณะเลือนราง ดังนั้น การที่ผู้ตายดูภาพถ่ายจำเลยเช่นนี้จึงเกิดข้อสงสัยว่าผู้ตายอยู่ในสภาพที่สามารถมองเห็นใบหน้าในภาพถ่ายได้ชัดเจนหรือไม่นั้น เห็นว่า คำเบิกความของนายแพทย์สมบูรณ์เป็นการกล่าวถึงกรณีทั่วไปของคนไข้ ที่มีอาการแบบนี้เท่านั้น แต่เมื่อนายสุวิทย์ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านนิติเวชศาสตร์ โรงพยาบาลสงขลานครินทร์พยานโจทก์เบิกความยืนยันว่า กรณีผู้ตายพบว่ากระสุนปืนไม่ถูกแกนสมอง เพียงแต่กระสุนปืนเฉียดแกนสมองไป และคลื่นพลังงานของกระสุนปืนทำให้แกนสมองช้ำ ส่งผลให้เนื้อสมองได้รับการกระทบกระเทือนด้วย ในช่วงเวลาประมาณ 3 ถึง 6 ชั่วโมง หลังเกิดเหตุ ระบบประสาทของเนื้อสมองของผู้ตายยังปกติ ในช่วงนี้ผู้ตายยังไม่เสียชีวิตและยังรู้สึกตัวดีอยู่ พูดคุยโต้ตอบอยู่ในระดับรู้เรื่องถึงพอรู้เรื่อง ประกอบกับผู้ตายได้รับการรักษาเบื้องต้นเพียงแพทย์ใช้สายออกซิเจนสอดในรูจมูกและผู้ตายยังสามารถยกมือขึ้นชี้ภาพถ่ายจำเลยได้ แสดงว่าขณะที่ผู้ตายชี้ยืนยันภาพถ่ายจำเลยผู้ตายยังมีสติสัมปชัญญะดี เชื่อว่าสามารถมองเห็นใบหน้าจำเลยในภาพถ่ายได้ สำหรับข้อสงสัยประการอื่นเป็นข้อปลีกย่อย ไม่อาจนำมาเป็นเหตุให้รับฟังว่าจำเลยมิใช่คนร้าย ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 9 พิพากษาไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้น แต่ที่ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษประหารชีวิตจำเลย ยังไม่เหมาะสมแก่พฤติการณ์แห่งคดี ศาลฎีกาจึงเห็นสมควรกำหนดโทษเสียใหม่ให้เหมาะสม
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น แต่ให้ลงโทษจำคุกจำเลยตลอดชีวิต