คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3284/2532

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

โจทก์อ้างว่า ห้างหุ้นส่วนจำกัดจ. และห้างหุ้นส่วนจำกัด บ.ได้โอนสิทธิเรียกร้องเงินค่าปอที่ห้างทั้งสองมีต่อจำเลยให้แก่โจทก์เพื่อชำระหนี้เงินกู้ และการโอนสิทธิเรียกร้องดังกล่าวสมบูรณ์เพราะโจทก์ได้มีหนังสือแจ้งการโอนไปยังจำเลยแล้ว แต่หลังจากโจทก์มีหนังสือแจ้งดังกล่าวแล้ว ห้างทั้งสองก็ยังคงรับเงินค่าปอจากจำเลยโดยโจทก์รับรู้และรับรองสิทธิในการรับเงินค่าปอของห้างทั้งสองโดยมิได้มีการโต้แย้ง ทั้งมิได้ตั้งไว้ในบัญชีของโจทก์ว่าจำเลยเป็นลูกหนี้ของโจทก์ แต่ยังถือว่าห้างทั้งสองเป็นลูกหนี้ของโจทก์อยู่อย่างเดิม มูลหนี้เดิมมีอยู่เท่าใดก็มิได้ลดลงไปตามจำนวนสิทธิที่อ้างว่าได้รับโอนมา ประกอบกับโจทก์มีพฤติการณ์ที่แสดงให้เห็นเจตนาอันแท้จริงของโจทก์ว่า โจทก์อาศัยอำนาจความเป็นเจ้าหนี้ของห้างทั้งสองติดตามรับเงินเพื่อเป็นการชำระหนี้ของโจทก์เท่านั้น กรณีจึงถือไม่ได้ว่าเป็นการโอนสิทธิเรียกร้องตามกฎหมาย โจทก์ไม่มีสิทธิที่จะเรียกให้จำเลยชำระหนี้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าหนี้เงินกู้ห้างหุ้นส่วนจำกัดเจริญธัญญวัฒน์และห้างหุ้นส่วนจำกัดบำรุงไทยกสิกรรม ลูกหนี้ทั้งสองของโจทก์มีสิทธิรับเงินค่าปอจากโรงงานกระสอบ กระทรวงการคลังของจำเลยและลูกหนี้ทั้งสองได้โอนสิทธิเรียกร้องในหนี้ค่าปอให้โจทก์ซึ่งโจทก์ได้บอกกล่าวการโอนไปยังโรงงานกระสอบ กระทรวงการคลังผู้เป็นลูกหนี้ตามสิทธิเรียกร้องนั้นแล้ว โรงงานกระสอบกระทรวงการคลังของจำเลยก็ได้ให้ความยินยอมในการโอนดังกล่าวการโอนสิทธิเรียกร้องจึงเป็นการสมบูรณ์ โรงงานกระสอบกระทรวงการคลังของจำเลยมีหน้าที่ต้องชำระเงินค่าปอให้โจทก์ขอให้จำเลยชำระต้นเงินตามสิทธิเรียกร้องที่รับโอนมา พร้อมทั้งดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีแก่โจทก์ จำเลยให้การว่าห้างทั้งสองมิได้เป็นเจ้าหนี้มีสิทธิรับเงินค่าปอจากจำเลย จำเลยจ่ายเงินค่าปอให้ผู้มีสิทธิรับเงินไปถูกต้องครบถ้วนแล้ว ห้างทั้งสองมิได้โอนสิทธิเรียกร้องรับเงินค่าปอให้แก่โจทก์ เป็นเพียงมอบหมายให้โจทก์รับเงินค่าปอแทนเท่านั้น ขอให้ยกฟ้อง ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้จำเลยชำระเงิน4,892,711.23 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีในเงินต้นดังกล่าวแก่โจทก์ โจทก์และจำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงรับฟังได้ในเบื้องต้นว่า ห้างหุ้นส่วนจำกัดเจริญธัญญวัฒน์และห้างหุ้นส่วนจำกัดบำรุงไทยกสิกรรมเป็นเจ้าหนี้ค่าปอที่จำเลยซื้อ ต่อมาโจทก์ได้มีหนังสือแจ้งการโอนสิทธิรับเงินค่าปอตามเอกสารหมาย จ.10 ถึงจ.28 ให้จำเลยทราบโดยนางสุมนัส จามรมาน สมุห์บัญชีของจำเลยลงชื่อรับเอกสารดังกล่าวไว้ ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาโจทก์จำเลยมีว่า ห้างหุ้นส่วนจำกัดเจริญธัญญวัฒน์และห้างหุ้นส่วนจำกัดบำรุงไทยกสิกรรมได้โอนสิทธิเรียกร้องให้แก่โจทก์หรือไม่ และโจทก์มีสิทธิเรียกร้องให้จำเลยชำระหนี้หรือไม่เพียงใด โจทก์นำสืบว่าการโอนสิทธิเรียกร้องเงินค่าปอของห้างหุ้นส่วนจำกัดเจริญธัญญวัฒน์และห้างหุ้นส่วนจำกัดบำรุงไทยกสิกรรมได้โอนมายังโจทก์ถูกต้องสมบูรณ์แล้วเพราะได้แจ้งการโอนไปยังจำเลยตามเอกสารหมาย จ.10ถึง จ.28 และนางสุมนัส สมุห์บัญชีของจำเลยได้รับทราบการโอนแล้วส่วนจำเลยนำสืบว่า โจทก์มารับเงินค่าปอแทนห้างหุ้นส่วนจำกัดเจริญธัญญวัฒน์และห้างหุ้นส่วนจำกัดบำรุงไทยกสิกรรม มิใช่เป็นกรณีการโอนสิทธิเรียกร้องเงินค่าปอของห้างทั้งสอง ตามคำเบิกความของนางนงลักษณ์ เจริญศรี พยานโจทก์ฟังได้ว่า นางนงลักษณ์เคยทำงานอยู่กับโจทก์ในระหว่างที่มีเหตุเป็นกรณีพิพาท เจ้าหน้าที่ของโจทก์ที่ไปรับเงินค่าปอจากจำเลยคือ นายธาตรี อภิชาตบุตรและนายเฉลิมพร พืชผล เมื่อรับเงินแล้วห้างหุ้นส่วนจำกัดเจริญธัญญวัฒน์และห้างหุ้นส่วนจำกัดบำรุงไทยกสิกรรมเป็นผู้ออกใบเสร็จมอบให้จำเลยโดยโจทก์ไม่ได้ออกใบเสร็จให้และเอกสารใบเสร็จรับเงินหมาย ล.10 (รวม 10 แผ่น) เป็นใบเสร็จรับเงินของห้างทั้งสอง ผู้ลงชื่อรับเงินคือนายเฉลิมพรเจ้าหน้าที่ของโจทก์คงมีแผ่นเดียวที่นายเฉลิมพรลงชื่อร่วมกับบุคคลอื่น ใบสั่งจ่ายธนาคารตามเอกสารหมาย ล.8 (รวม 6 แผ่น) ผู้ลงชื่อรับเงินมีนายธาตรีและนายเฉลิมพร และมีบางแผ่นนายเฉลิมพรลงชื่อร่วมกับบุคคลอื่น และในช่องรายการของเอกสารดังกล่าวระบุชื่อของห้างทั้งสองไว้ มีอยู่แผ่นเดียวที่วงเล็บชื่อของโจทก์อยู่ด้วย และตามคำเบิกความของนายธาตรี อภิชาตบุตร ในคดีหมายเลขแดงที่ 1788/2526 ของศาลแรงงานกลางได้ความว่า เช็คที่จำเลยออกให้นั้นสั่งจ่ายในชื่อโจทก์ก็มี สั่งจ่ายในชื่อห้างผู้ขายปอก็มี โดยครั้งแรกสั่งจ่ายในชื่อห้างผู้ขายปออย่างเดียว และสั่งจ่ายห้างผู้ขายปอร่วมกับโจทก์ก็มี และทางห้างผู้ขายปอเคยลงชื่อรับเงินร่วมกับนายธาตรีโดยนายธาตรีมิได้ทักท้วง และนายสุรินทร์ ดุลยธรรมภักดีหุ้นส่วนผู้จัดการของห้างทั้งสองที่โอนสิทธิการรับเงินค่าปอให้โจทก์เบิกความในคดีแดงที่ 1788/2526 ของศาลแรงงานกลางเกี่ยวกับการโอนสิทธิการรับเงินค่าปอได้ความว่าการรับเงินค่าปอนั้นส่วนใหญ่นายสุรินทร์ไปรับจากจำเลยแล้วนำไปชำระให้โจทก์ บางครั้งก็พาเจ้าหน้าที่ของโจทก์ไปรับด้วย บางครั้งก็แจ้งผ่าน ผ่านเจ้าหน้าที่การเงินของจำเลยให้จ่ายเงินให้เจ้าหน้าที่ของโจทก์ พลตำรวจตรีสำราญ กลัดศิริ ซึ่งเป็นกรรมการผู้จัดการของโจทก์ในขณะที่เกิดเหตุได้เบิกความไว้ในคดีแดงที่ 1788/2526 ของศาลแรงงานกลางว่าโจทก์ไม่เคยตั้งบัญชีให้โรงงานกระสอบ กระทรวงการคลังซึ่งเป็นจำเลยเป็นลูกหนี้โจทก์ หลังจากทำหนังสือโอนสิทธิแล้ว โจทก์ก็ยังไม่นำมาหักบัญชีให้ห้างที่เป็นลูกหนี้ การชำระหนี้ของห้างทำโดยนำเงินมาชำระหรือโจทก์ได้รับเงินค่าปอมาแล้วเท่านั้น ซึ่งคำเบิกความของพลตำรวจตรีสำราญ ได้ความตรงกับคำเบิกความของนายสุรินทร์และสอดคล้องกับข้อเท็จจริงตามคำเบิกความของนายธาตรีในข้อที่ว่าหลังจากทำหนังสือโอนสิทธิการรับเงินตามเอกสารหมาย จ.10 ถึง จ.28แล้ว การรับเงินค่าปอคงมีทั้งเจ้าหน้าที่ของโจทก์รับฝ่ายเดียวทางห้างทั้งสองผู้ขายปอได้รับฝ่ายเดียวและทั้งเจ้าหน้าที่ของโจทก์และห้างทั้งสองไปรับร่วมกัน จากข้อเท็จจริงตามที่กล่าวข้างต้นหลังจากมีการทำเอกสารหมาย จ.10 ถึง จ.28 แล้ว โจทก์ก็ยังปฏิบัติเป็นการรับรู้และรับรองสิทธิในการรับเงินค่าปอของห้างทั้งสองที่มีต่อจำเลยโดยมิได้มีการโต้แย้ง ทั้งยังมิได้ตั้งเอาไว้ในบัญชีของโจทก์ว่า จำเลยเป็นลูกหนี้ของโจทก์ ยังถือว่าห้างทั้งสองเป็นลูกหนี้ของโจทก์อยู่อย่างเดิม มูลหนี้เดิมมีอยู่เท่าใดก็มิได้ลดลงไปตามจำนวนสิทธิที่อ้างว่าได้รับโอนมา ข้อปฏิบัติระหว่างโจทก์จำเลยและห้างทั้งสองดังกล่าวตามข้อเท็จจริงข้างต้น ประกอบกับคำชี้แจงของนางเพ็ญศรี เฉลิมพานิช หุ้นส่วนผู้จัดการของห้างหุ้นส่วนจำกัดขอนแก่นชัยพูลผลที่ปรากฏในเอกสารหมาย จ.1หน้า 8-9 ว่า “การโอนสิทธิเรียกร้องรับเงินโรงงานกระสอบฯบริษัททรัสต์ (หมายถึงโจทก์) จะให้ทำสัญญากู้ยืมเงินพร้อมสั่งจ่ายเช็คค้ำประกันและให้ทำหนังสือโอนสิทธิเงินค่าปอตามใบตรวจรับปออีกส่วนหนึ่งด้วย ต่อจากนั้นบริษัททรัสต์จะให้ข้าพเจ้าถือใบโอนสิทธิเรียกร้องและใบตรวจรับปอพร้อมเอกสารอื่นของบริษัทไปขอรับเงินจากโรงงานฯ แต่มีบางครั้งที่เจ้าหน้าที่ของบริษัทจะไปเอง เมื่อได้รับเงินจากโรงงานฯ แล้วก็จะนำไปให้บริษัททรัสต์เพื่อหักทอนบัญชีกันต่อไป” และตามเอกสารหมาย จ.1 แผ่นที่ 56 และ 58 ถึง 62 นั้นโจทก์ก็ออกใบเสร็จรับเงินให้กับห้างหุ้นส่วนจำกัดขอนแก่นชัยพูลผลซึ่งตามข้อนำสืบของโจทก์จำเลยได้ความว่า โจทก์ปฏิบัติอย่างเดียวกับห้างทั้งสองดังกล่าว และข้อเท็จจริงตามคำเบิกความของพลตำรวจตรีสำราญในคดีแดงที่ 1788/2526 ของศาลแรงงานกลางที่ว่า โจทก์ได้ฟ้องห้างทั้งสองให้ชำระหนี้เพราะถือว่า ห้างทั้งสองเป็นลูกหนี้ของโจทก์ ขณะนั้นโจทก์ยังไม่ถือว่าจำเลยเป็นลูกหนี้ของโจทก์และโจทก์ได้แจ้งความดำเนินคดีกับนายสุรินทร์หุ้นส่วนผู้จัดการของห้างทั้งสองตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็คซึ่งเป็นเช็คที่ห้างทั้งสองออกให้ชำระหนี้เงินกู้ และเช็คที่จำเลยสั่งจ่ายเงินค่าปอตามเอกสารหมาย จ.1 แผ่นที่ 177 ถึง 182 และ 184ถึง 187 ก็มีทั้งที่ระบุชื่อโจทก์ ระบุชื่อห้างทั้งสอง และระบุทั้งชื่อโจทก์ร่วมกับห้างทั้งสองห้างใดห้างหนึ่ง จึงเป็นการแสดงให้เห็นเจตนาอันแท้จริงของโจทก์ว่า โจทก์อาศัยอำนาจความเป็นเจ้าหนี้ของห้างทั้งสองติดตามรับเงินเพื่อเป็นการชำระหนี้ของโจทก์เท่านั้นถือไม่ได้ว่าเป็นการโอนสิทธิเรียกร้องตามกฎหมาย โจทก์ไม่มีสิทธิที่จะเรียกให้จำเลยชำระหนี้ได้”
พิพากษากลับให้ยกฟ้องโจทก์

Share