คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3281/2534

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

การที่ศาลวินิจฉัยว่าที่พิพาท เป็นของโจทก์ แต่ศาลไม่อาจพิพากษาเพิ่มชื่อของโจทก์ในหนังสือรับรองการทำประโยชน์ร่วมกับจำเลยได้นั้น ทำให้คำวินิจฉัยของศาลไร้ผล และขัดกับคำพิพากษาถือเป็นปัญหาอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกามีอำนาจแก้ให้ถูกต้องได้ โจทก์ฟ้องว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์ และขอให้เพิกถอนชื่อจำเลยออกจากหนังสือรับรองการทำประโยชน์ และใส่ชื่อโจทก์แทน เมื่อฟังว่าที่พิพาท เป็นของโจทก์และจำเลยร่วมกันศาลก็มีอำนาจตาม ป.วิ.พ.มาตรา 142(2) พิพากษาให้ใส่ชื่อโจทก์ในหนังสือรับรองการทำประโยชน์เป็นเจ้าของร่วมได้ โดยไม่ต้องเพิกถอนชื่อจำเลยออก.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้อง ขอให้ศาลพิพากษาว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์ทั้งสองและขับไล่จำเลยกับบริวารออกจากที่พิพาท ห้ามจำเลยกับบริวารเกี่ยวข้องกับที่พิพาทต่อไป และเพิกถอนชื่อจำเลยออกจาก น.ส.3ก.เลขที่ 2866 ตำบลสร้างถ่อ อำเภอเขื่องใน จังหวัดอุบลราชธานี แล้วใส่ชื่อโจทก์ทั้งสองแทน
จำเลยให้การว่า ที่พิพาทเป็นของจำเลย หากศาลฟังว่าที่พิพาทเป็นมรดกจำเลยก็ย่อมมีส่วนเป็นเจ้าของร่วมด้วย
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า ที่พิพาทเป็นของนายบัวตกได้แก่โจทก์ทั้งสองและนางเหล็กมารดาจำเลยโดยมรดก เมื่อนางเหล็กถึงแก่กรรมที่ดินส่วนของนางเหล็กก็ตกได้แก่จำเลย โจทก์ทั้งสองและจำเลยได้ร่วมกันครอบครองทำประโยชน์ในที่พิพาท โดยไม่ได้แบ่งกันเป็นส่วนสัดการที่จำเลยครอบครองทำประโยชน์ในที่พิพาทกับเสียภาษีบำรุงท้องที่ก็เป็นการกระทำแทนโจทก์ทั้งสอง จำเลยไม่มีสิทธินำที่พิพาทไปขอออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์เป็นชื่อของจำเลยคนเดียวทั้งหมด เมื่อที่พิพาทเป็นของโจทก์ทั้งสองและจำเลยมีสิทธิครอบครองร่วมกัน จึงไม่อาจบังคับให้จำเลยออกจากที่พิพาท และเมื่อโจทก์มีสิทธิครอบครองที่พิพาท ก็เป็นเรื่องของโจทก์ที่จะดำเนินการทางเจ้าพนักงานที่ดินเพื่อเพิ่มชื่อของตนในหนังสือรับรองการทำประโยชน์ร่วมกับจำเลย จะให้ศาลเพิ่มชื่อโจทก์ในหนังสือรับรองการทำประโยชน์โดยเพิกถอนชื่อจำเลยออกไม่ได้ พิพากษายกฟ้อง
จำเลยอุทธรณ์
ขณะคดีอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์ โจทก์ที่ 1 ถึงแก่กรรม ศาลอุทธรณ์อนุญาตให้นายสมพร จิตเฉลียว เข้าเป็นคู่ความแทน
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า ที่พิพาทเป็นของจำเลย ไม่ใช่ของโจทก์ทั้งสองและจำเลยร่วมกันโดยทางมรดก พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงฟังได้ในเบื้องต้นว่า นายบัว นางออนมีบุตรด้วยกัน 7 คน คือ นายตา จิตเฉลียวนายโส จิตเฉลียว นางเหล็ก จิตเฉลียว มารดาจำเลย นายสีทา จิตเฉลียวนางถาง จิตเฉลียว โจทก์ที่ 1 และโจทก์ที่ 2 บุตรคนอื่นดังกล่าวถึงแก่กรรมแล้ว คงเหลือแต่โจทก์ทั้งสอง นายบัวเป็นคนแจ้งการครอบครองที่พิพาทปรากฏตาม ส.ค.1 เอกสารหมาย จ.1 และจำเลยเป็นคนขอให้ทางราชการออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์เป็นชื่อของจำเลยปรากฏตาม น.ส.3ก.เอกสารหมาย ล.32 จำเลยกับสามีทำนาในที่พิพาทตลอดมา นายบัวถึงแก่กรรมเมื่อประมาณปี 2502 คดีมีประเด็นว่า ที่พิพาทเป็นของโจทก์ทั้งสองและจำเลยร่วมกันโดยทางมรดก หรือเป็นของจำเลยผู้เดียว…คดีฟังได้ว่า ที่พิพาทเป็นของโจทก์ทั้งสองและจำเลยโดยทางมรดก คำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์ในประเด็นนี้ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยกับคำวินิจฉัยของศาลชั้นต้น ฎีกาของโจทก์ในประเด็นนี้ฟังขึ้น และศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยกับคำวินิจฉัยของศาลชั้นต้นอีกประเด็นหนึ่งที่ว่าเมื่อคดีฟังได้ดังกล่าวมาก็ไม่อาจบังคับให้จำเลยออกจากที่พิพาท แต่ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วยกับคำวินิจฉัยของศาลชั้นต้นที่ว่า เมื่อโจทก์มีสิทธิครอบครองที่พิพาทก็เป็นเรื่องของโจทก์ที่จะดำเนินการทางเจ้าพนักงานที่ดินเพื่อเพิ่มชื่อของตนในหนังสือรับรองการทำประโยชน์ร่วมกับจำเลย จะให้ศาลเพิ่มชื่อโจทก์ในหนังสือรับรองการทำประโยชน์โดยเพิกถอนชื่อจำเลยออกไม่ได้จึงพิพากษายกฟ้อง ซึ่งทำให้คำวินิจฉัยของศาลชั้นต้นไร้ผล การที่วินิจฉัยเป็นคุณแก่โจทก์ แต่ไม่พิพากษาให้เป็นไปตามนั้น ถือว่าคำวินิจฉัยและคำพิพากษาขัดกันย่อมเป็นปัญหาอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยและแก้เสียให้ถูกต้องได้ กรณีตามคำวินิจฉัยของศาลชั้นต้นในข้อสุดท้ายดังกล่าวมามีบทบัญญัติประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142(2) ว่า”ในคดีที่โจทก์ฟ้องเรียกทรัพย์ใด ๆ เป็นของตนทั้งหมด แต่พิจารณาได้ความว่าโจทก์ควรได้แต่ส่วนแบ่ง เมื่อศาลเห็นสมควร ศาลจะพิพากษาให้โจทก์ได้รับแต่ส่วนแบ่งนั้นก็ได้” คดีนี้โจทก์ทั้งสองขอให้ศาลพิพากษาว่า ที่พิพาทเป็นของโจทก์ทั้งสอง และเพิกถอนชื่อจำเลยออกจากหนังสือรับรองการทำประโยชน์ และใส่ชื่อโจทก์ทั้งสองแทน เมื่อคดีฟังได้ว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์ทั้งสองและจำเลยร่วมกันโดยทางมรดก ศาลก็มีอำนาจพิพากษาใส่ชื่อโจทก์ทั้งสองในหนังสือรับรองการทำประโยชน์เป็นเจ้าของร่วมกับจำเลยได้ โดยไม่ต้องเพิกถอนชื่อจำเลยออก”
พิพากษาแก้เป็นว่า ที่พิพาทเป็นของโจทก์ทั้งสองและจำเลยโดยทางมรดก ให้จำเลยใส่ชื่อโจทก์ทั้งสองในหนังสือรับรองการทำประโยชน์น.ส.3ก. เลขที่ 2866 ตำบลสร้างถ่อ อำเภอเขื่องใน จังหวัดอุบลราชธานีเป็นเจ้าของร่วมกับจำเลย.

Share