แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
คดีโจทก์มีประจักษ์พยานเพียง 2 ปากแต่ประจักษ์พยานทั้ง 2 ปากให้การขัดแย้งกันและไม่สมเหตุผลจนเป็นที่เชื่อถือไม่ได้ ทำให้พยานหลักฐานของโจทก์ไม่มั่นคงพอจะลงโทษจำเลยตามฟ้องโจทก์การที่พยานโจทก์ไม่พอฟังลงโทษจำเลยได้เช่นนี้เป็นเหตุลักษณะคดีแม้จำเลยบางคนจะมิได้ฎีกาขึ้นมา ศาลก็พิพากษาให้ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่มิได้ฎีกาขึ้นมาได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสามสมคบร่วมกันมีไม้อันเป็นไม้หวงห้ามไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต ขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติป่าไม้ ฯลฯ
จำเลยทั้งสามให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์ แต่ให้ริบไม้ของกลาง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้ลงโทษจำเลยทั้งสาม
จำเลยที่ 3 คนเดียวฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า โจทก์มีประจักษ์พยานที่อ้างว่าเห็นจำเลยกำลังงัดไม้ซุงลงห้วยและใช้ช้างลากซุงอยู่ แต่สิบตำรวจโทผ่องธรรมนารักษ์ และพลตำรวจนอง แสงสุริยันต์ เพียง 2 ปากเท่านั้นแต่ปรากฏว่าประจักษ์พยานโจทก์ทั้ง 2 ปากนี้ให้การขัดแย้งกันและไม่สมเหตุผลหลายประการ ทำให้เป็นที่เห็นได้ว่าประจักษ์พยานโจทก์ทั้งสองปากจะไม่ได้ไปเห็นจำเลยชักลากและงัดไม้ด้วยกันจริงจังคำประจักษ์พยานโจทก์ทั้งสองจึงเชื่อถือไม่ได้ พยานหลักฐานโจทก์ที่นำสืบมายังไม่มั่นคงพอให้รับฟังข้อเท็จจริงได้ว่า จำเลยทั้งสามมีไม้ของกลางอันเป็นไม้ผิดกฎหมายไว้ในความครอบครอง จึงลงโทษจำเลยตามฟ้องโจทก์ไม่ได้ การที่พยานโจทก์ไม่พอฟังลงโทษจำเลยในคดีนี้ได้ดังกล่าวนั้นเป็นเหตุในลักษณะคดี แม้จำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2 มิได้ฎีกามา ศาลก็พิพากษาถึงจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2 ได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 213, 225
พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยทั้งสาม