คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3278/2538

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องขอให้ศาลพิพากษาว่าคำสั่งศาลชั้นต้นที่ตั้งผู้จัดการมรดกของล. เป็นโมฆะนั้นตามกฎหมายคำสั่งของศาลที่ชี้ขาดคดีจะถูกศาลพิพากษาเป็นโมฆะไม่ได้เว้นแต่จะถูกเปลี่ยนแปลงแก้ไขกลับหรืองดเสียโดยคำพิพากษาของศาลในลำดับที่สูงกว่าและที่โจทก์ขอให้ศาลพิพากษาว่าใบแต่งทนายความและกระบวนพิจารณาในศาลชั้นต้นไม่ชอบด้วยกฎหมายทั้งคำเบิกความของพยานก็รบฟังไม่ได้นั้นก็เป็นกระบวนพิจารณาก่อนที่ศาลชั้นต้นจะมีคำสั่งชี้ขาดก็ดีเมื่อโจทก์มิได้ยื่นคำร้องเกี่ยวกับเรื่องนี้ในคดีของศาลชั้นต้นจึงมีผลเช่นเดียวกับการขอให้ศาลพิพากษาว่าคำสั่งศาลชั้นต้นเป็นโมฆะเช่นกันส่วนที่โจทก์ขอให้ศาลพิพากษาว่านิติกรรมจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินของจำเลยที่1เป็นโมฆะต้องกลับคืนสู่ฐานะเดิมนั้นการจะพิพากษาให้บังคับตามคำขอนี้ได้จะต้องให้ศาลพิพากษาว่าคำสั่งของศาลชั้นต้นตกเป็นโมฆะเสียก่อนเมื่อคำฟ้องและคำขอท้ายฟ้องของโจทก์ในคดีนี้ขอให้ศาลพิพากษาในข้อที่ไม่อาจจะพิพากษาให้ได้โดยชอบด้วยกฎหมายเช่นนี้ฎีกาของโจทก์ซึ่งล้วนกล่าวอ้างข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายเพื่อให้ศาลชั้นต้นรับคำฟ้องไว้พิจารณาจึงเป็นข้อปลีกย่อยไม่ทำให้ผลคดีเปลี่ยนแปลงได้ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยและเมื่อคำฟ้องกับคำขอท้ายฟ้องของโจทก์ไม่อาจจะพิพากษาให้ได้เช่นนี้ศาลชั้นต้นก็ชอบที่จะยกฟ้องโจทก์เสียได้ในชั้นตรวจคำฟ้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา131(2)

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ทั้งสามเป็นบุตรนายเล็ก นางสังวาลย์ไพลวัล เมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2528 นางสังวาลย์ได้พิมพ์ลายนิ้วมือแต่งตั้งให้นายสันต์ มลสวัสดิ์ เป็นทนายความร้องขอจัดการมรดกของนายเล็ก ไพรวัล แต่มีผู้รับรองลายพิมพ์นิ้วมือคนเดียว นายสันต์จึงลงลายมือชื่อรับรองลายพิมพ์นิ้วมือด้วยอีกคนหนึ่ง เป็นการไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 9 ใบแต่งทนายความดังกล่าวจึงเป็นโมฆะ นายสันต์ไม่มีอำนาจยื่นคำร้องขอให้ศาลตั้งนางสังวาลย์เป็นผู้จัดการมรดกและไม่มีอำนาจถามพยานทำให้คำเบิกความของพยานไม่ชอบด้วยกฎหมายและทำให้คำสั่งศาลที่ตั้งให้นางสังวาลย์เป็นผู้จัดการมรดกของนายเล็กไม่ชอบด้วยกฎหมายไปด้วย นางสังวาลย์จึงไม่มีอำนาจมอบอำนาจให้จำเลยที่ 1 จัดการเกี่ยวกับทรัพย์มรดกของนายเล็กดังนั้น นิติกรรมการโอนที่ดินของจำเลยที่ 1 ในฐานะผู้รับมอบอำนาจจากนางสังวาลย์ผู้จัดการมรดกของนายเล็กจึงตกเป็นโมฆะขอให้พิพากษาว่าใบแต่งทนายความและกระบวนพิจารณาในคดีดังกล่าวไม่ชอบด้วยกฎหมายคำเบิกความของพยานรับฟังหาได้ไม่ คำสั่งศาลที่ตั้งผู้จัดการมรดกของนายเล็ก เป็นโมฆะนิติกรรมการจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินซึ่งจำเลยที่ 1 กระทำไปตกเป็นโมฆะต้องกลับคืนสู่ฐานะเดิม
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฟ้อง
โจทก์ทั้งสามอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ทั้งสามฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ปัญหาตามที่โจทก์ฎีกาว่า ที่ศาลล่างทั้งสองไม่รับคำฟ้องของโจทก์ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่นั้น เห็นว่า โจทก์ฟ้องขอให้ศาลพิพากษาว่าคำสั่งศาลชั้นต้นที่ตั้งผู้จัดการมรดกของ ล.เป็นโมฆะนั้น ตามกฎหมายคำสั่งของศาลที่ชี้ขาดคดีจะถูกศาลพิพากษาเป็นโมฆะไม่ได้ เว้นแต่จะถูกเปลี่ยนแปลงแก้ไข กลับหรืองดเสียโดยคำพิพากษาของศาลในลำดับที่สูงกว่า และที่โจทก์ขอให้ศาลพิพากษาว่าใบแต่งทนายความและกระบวนพิจารณาในศาลชั้นต้นไม่ชอบด้วยกฎหมาย ทั้งคำเบิกความของพยานก็รับฟังไม่ได้นั้นก็เป็นกระบวนพิจารณาก่อนที่ศาลชั้นต้นจะมีคำสั่งชี้ขาดคดีเมื่อโจทก์มิได้ยื่นคำร้องเกี่ยวกับเรื่องนี้ในคดีของศาลชั้นต้นจึงมีผลเช่นเดียวกับขอให้ศาลพิพากษาว่าคำสั่งศาลชั้นต้นเป็นโมฆะเช่นกัน ส่วนที่โจทก์ขอให้ศาลพิพากษาว่านิติกรรมจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินของจำเลยที่ 1 เป็นโมฆะต้องกลับคืนสู่ฐานะเดิมนั้น การจะพิพากษาให้บังคับตามคำขอนี้ได้จะต้องให้ศาลพิพากษาว่าคำสั่งของศาลชั้นต้นตกเป็นโมฆะเสียก่อน เมื่อคำฟ้องและคำขอท้ายฟ้องของโจทก์ในคดีนี้ขอให้ศาลพิพากษาในข้อที่ไม่อาจจะพิพากษาให้ได้โดยชอบด้วยกฎหมายเช่นนั้น ฎีกาของโจทก์ซึ่งล้วนกล่าวอ้างข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายเพื่อให้ศาลชั้นต้นรับคำฟ้องไว้พิจารณาจึงเป็นข้อปลีกย่อยไม่ทำให้ผลคดีเปลี่ยนแปลงได้ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย และเมื่อคำฟ้องกับคำขอท้ายฟ้องของโจทก์ไม่อาจจะพิพากษาให้ได้เช่นนี้ ศาลชั้นต้นก็ชอบที่จะยกฟ้องโจทก์เสียได้ในชั้นตรวจคำฟ้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 131(2) ดังนั้น การที่ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับคำฟ้องและคืนค่าขึ้นศาลให้โจทก์ทั้งหมดจึงเป็นคำสั่งที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายสมควรแก้ไขให้ถูกต้อง
พิพากษายกคำสั่งศาลชั้นต้นและคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ โดยให้ยกฟ้องโจทก์

Share