แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานฉ้อโกงประชาชนตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา343ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าการกระทำของจำเลยเป็นเพียงผิดคำมั่นว่าจะทำอะไรแล้วไม่ทำจึงไม่เป็นความผิดฐานฉ้อโกงแต่การที่จำเลยรับเงินของผู้เสียหายทั้งสามสิบสี่รายไว้ในครอบครองแล้วไม่นำไปดำเนินการตามที่มอบหมายและไม่คืนเงินให้เป็นความผิดฐานยักยอกพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามมาตรา352วรรคหนึ่งโจทก์ไม่ได้อุทธรณ์จำเลยอุทธรณ์ว่าไม่เป็นความผิดฐานยักยอกดังนั้นข้อเท็จจริงที่ว่าจำเลยได้หลอกลวงผู้เสียหายด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จหรือไม่จึงยุติไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นปัญหาในชั้นอุทธรณ์จึงมีตามอุทธรณ์ของจำเลยเพียงว่าจำเลยได้กระทำผิดฐานยักยอกหรือไม่การที่ศาลอุทธรณ์ภาค3วินิจฉัยข้อเท็จจริงว่าการกระทำของจำเลยเป็นการหลอกลวงด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จต่อประชาชนมีความผิดฐานฉ้อโกงประชาชนตามฟ้องและพิพากษาลงโทษจำเลยตามมาตรา343วรรคแรกจึงเป็นการวินิจฉัยและฟังข้อเท็จจริงในข้อที่โจทก์และจำเลยไม่ได้อุทธรณ์ไม่ชอบด้วยบทบัญญัติแห่งกฎหมายว่าด้วยการพิจารณาและพิพากษาคดี
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยโดยทุจริตหลอกลวงประชาชนที่มาทำพิธีทางศาสนาที่มัสยิดบ้านพระพุทธว่า จำเลยจะดำเนินการขอจดทะเบียนเรือและขออาชญาบัตรอวนให้แก่ประชาชนดังกล่าวอันเป็นเท็จซึ่งความจริงจำเลยมิได้มีเจตนาจะดำเนินการขอจดทะเบียนเรือและอาชญาบัตรอวนดังกล่าวให้แก่ประชาชน จนประชาชนที่มาทำพิธีทางศาสนาดังกล่าวหลงเชื่อว่าเป็นความจริง ในการหลอกลวงดังว่านั้นจำเลยได้รับเงินไปจากประชาชนที่ถูกจำเลยหลอกลวงรวมเป็นเงิน 21,890 บาท ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 343 และให้จำเลยคืนเงินจำนวน 21,890 บาท แก่เจ้าของ
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 352 วรรคหนึ่ง จำคุก 3 ปี ให้จำเลยคืนเงินจำนวน 21,890 บาทแก่เจ้าของ จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษาแก้เป็นว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 343 วรรคแรกนอกจากที่แก้ให้เป็นตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้น จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีมีปัญหาในชั้นฎีกาตามฎีกาของจำเลยในปัญหาข้อกฎหมายที่ศาลชั้นต้นสั่งรับว่า คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ พิเคราะห์แล้วโจทก์บรรยายฟ้องและมีคำขอให้ศาลลงโทษจำเลยในความผิดฐานฉ้อโกงประชาชน ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 343 ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว ฟังข้อเท็จจริงและวินิจฉัยว่า การกระทำของจำเลยเป็นเพียงผิดคำมั่นว่าจะทำอะไรแล้วไม่ทำ ไม่เป็นการหลอกลวงผู้เสียหายและประชาชนด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จ จึงไม่เป็นความผิดฐานฉ้อโกง แต่การที่จำเลยรับเงินของผู้เสียหายทั้งสามสิบสี่รายไว้ในครอบครองแล้วไม่นำไปดำเนินการตามที่ผู้เสียหายดังกล่าวมอบหมายและไม่คืนเงินให้เป็นการเบียดบังทรัพย์สินของผู้เสียหายโดยมีเจตนาทุจริตเป็นความผิดฐานยักยอก ศาลมีอำนาจลงโทษจำเลยในความผิดฐานยักยอกได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรคสามพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 352 วรรคหนึ่งจำคุก 3 ปี โจทก์ไม่ได้อุทธรณ์จำเลยอุทธรณ์ว่า การกระทำของจำเลยไม่เป็นความผิดฐานยักยอกดังนั้น ข้อเท็จจริงที่ว่าจำเลยได้หลอกลวงผู้เสียหายและประชาชนด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จหรือไม่จึงยุติไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นปัญหาในชั้นอุทธรณ์จึงมีตามอุทธรณ์ของจำเลยเพียงว่าจำเลยได้กระทำผิดฐานยักยอกหรือไม่การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 วินิจฉัยข้อเท็จจริงแล้วฟังว่า การกระทำของจำเลยเป็นการหลอกลวงด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จต่อประชาชนและการหลอกลวงดังกล่าวทำให้จำเลยได้ไปซึ่งทรัพย์สิน จำเลยจึงมีความผิดฐานฉ้อโกงประชาชนตามฟ้องและพิพากษาลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 343 วรรคแรกโดยให้ลงโทษจำคุก 3 ปี ตามที่ศาลชั้นต้นกำหนด จึงเป็นการวินิจฉัยและฟังข้อเท็จจริงในข้อที่โจทก์และจำเลยไม่ได้อุทธรณ์ ดังนั้นที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 วินิจฉัยข้อเท็จจริงและปรับบทลงโทษจำเลยว่าเป็นความผิดฐานฉ้อโกงประชาชนจึงไม่ชอบด้วยกฎหมายว่าด้วยการพิจารณาและพิพากษาคดี คดีนี้จำเลยอุทธรณ์ว่าการกระทำของจำเลยไม่เป็นความผิดฐานยักยอก ซึ่งศาลอุทธรณ์ยังไม่ได้วินิจฉัย ศาลฎีกาจึงเห็นสมควรย้อนสำนวนให้ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิจารณาและพิพากษาใหม่ตามประเด็นที่จำเลยอุทธรณ์ดังกล่าวตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 243 และ 247 ประกอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 15”
พิพากษายกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3 ให้ศาลอุทธรณ์ภาค 3พิจารณาและพิพากษาใหม่ตามรูปคดี