คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3274/2538

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

เมื่อโจทก์และจำเลยที่1ซื้อที่ดินและบ้านพิพาทหลังจากประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์บรรพ5ที่ได้ตรวจชำระใหม่พ.ศ.2519ใช้บังคับแล้วแม้โจทก์และจำเลยที่1จะสมรสกันก่อนประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์บรรพ5ที่ได้ตรวจชำระใหม่พ.ศ.2519มาใช้บังคับจำเลยที่1ขายที่ดินและบ้านพิพาทให้จำเลยที่2โดยปราศจากความยินยอมของโจทก์และจำเลยที่2นำไปจดทะเบียนจำนองแก่จำเลยที่3แต่โจทก์นำสืบไม่ได้ว่าจำเลยที่2และที่3ทราบว่าโจทก์เป็นภริยาที่ชอบด้วยกฎหมายของจำเลยที่1กับจำเลยที่2และที่3ไม่สุจริตอย่างไรโจทก์จึงขอให้ศาลเพิกถอนการจดทะเบียนจำนองที่ดินและบ้านพิพาทไม่ได้ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา6ให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าบุคคลทุกคนกระทำการโดยสุจริตดังนั้นการที่โจทก์อ้างว่าจำเลยที่2และจำเลยที่3กระทำการโดยไม่สุจริตโจทก์จึงมีภาระการพิสูจน์เพื่อหักล้างข้อสันนิษฐานดังกล่าว

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นภริยาของจำเลยที่ 1 เมื่อวันที่26 กุมภาพันธ์ 2533 จำเลยที่ 1 ได้ขายที่ดินพร้อมบ้าน ซึ่งเป็นสินสมรสให้แก่จำเลยที่ 2 โดยปราศจากความยินยอมและจำเลยที่ 2รับซื้อไว้โดยไม่สุจริตในวันดังกล่าวจำเลยที่ 2 ได้นำไปจำนองแก่จำเลยที่ 3 และจำเลยที่ 3 รับจำนองไม่สุจริตโดยทราบว่าโจทก์เป็นเจ้าของร่วมกับจำเลยที่ 1 ขอให้เพิกถอนการจดทะเบียนขายที่ดินและเพิกถอนการจดทะเบียนจำนองที่ดิน ซึ่งจำเลยที่ 2จดทะเบียนจำนองไว้แก่จำเลยที่ 3
จำเลยที่ 1 ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
จำเลยที่ 2 ให้การว่า ไม่ทราบมาก่อนว่าโจทก์เป็นภริยาของจำเลยที่ 1 และเป็นเจ้าของที่ดินและบ้านที่จำเลยที่ 2ซื้อมา จำเลยที่ 2 ซื้อโดยสุจริต ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ 3 ให้การว่า จำเลยที่ 3 ให้จำเลยที่ 1 และที่ 2กู้เงิน และรับจำนองที่ดินพิพาทโดยสุจริตและเสียค่าตอบแทนโจทก์ไม่มีสิทธิฟ้องขอให้เพิกถอนนิติกรรม ฟ้องเคลือบคลุมโดยกล่าวอ้างว่าจำเลยที่ 3 ไม่สุจริต แต่มิได้บรรยายว่าไม่สุจริตอย่างใด ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้น พิพากษายก ฟ้อง
โจทก์ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ พิพากษายืน
โจทก์ ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยตามฎีกาโจทก์ว่า มีเหตุให้เพิกถอนนิติกรรมการซื้อขายระหว่างจำเลยที่ 1 กับจำเลยที่ 2 และนิติกรรมการจำนองระหว่างจำเลยที่ 2 กับจำเลยที่ 3 หรือไม่ เห็นว่า โจทก์และจำเลยที่ 1 ซื้อที่ดินและบ้านพิพาทหลังจากประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 5 ที่ได้ตรวจชำระใหม่ พ.ศ. 2519 ใช้บังคับแล้วแม้โจทก์และจำเลยที่ 1 จะสมรสกันก่อนประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์บรรพ 5 ที่ได้ตรวจชำระใหม่ พ.ศ. 2519 ใช้บังคับก็ต้องนำประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 5 ที่ตรวจชำระใหม่ พ.ศ. 2519มาใช้บังคับ ที่โจทก์กล่าวในคำฟ้องว่าโจทก์เป็นภริยาชอบด้วยกฎหมายของจำเลยที่ 1 การซื้อขายและการจำนองที่ดินและบ้านพิพาทมิได้เป็นไปโดยสุจริต เพราะจำเลยที่ 2 และที่ 3 ทราบว่าโจทก์เป็นภริยาที่ชอบด้วยกฎหมายของจำเลยที่ 1 แต่เมื่อจดทะเบียนนิติกรรมมิได้แจ้งให้โจทก์ทราบเพื่อให้ความยินยอม โจทก์ย่อมได้รับความคุ้มครองตามกฎหมายนั้น จึงมีข้อที่ต้องวินิจฉัยว่าจำเลยที่ 2 และที่ 3 ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกกระทำการโดยสุจริตหรือไม่ เห็นว่าตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 6 ให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าบุคคลทุกคนกระทำการโดยสุจริต ดังนั้นการที่โจทก์อ้างว่าจำเลยที่ 2 และจำเลยที่ 3 กระทำการโดยไม่สุจริตโจทก์จึงมีภาระการพิสูจน์เพื่อหักล้างข้อสันนิษฐานดังกล่าวแต่จากข้อนำสืบของโจทก์ในส่วนที่เกี่ยวกับจำเลยที่ 2 ไม่ปรากฎว่าจำเลยที่ 2 รู้จักโจทก์มาก่อน โจทก์เพิ่งจะพบเห็นจำเลยที่ 2เมื่อจำเลยที่ 2 เข้ามาอยู่ในที่ดินและบ้านพิพาท ซึ่งน่าจะเป็นเวลาภายหลังจากการจดทะเบียนนิติกรรมซื้อขายแล้ว ส่วนที่เกี่ยวกับจำเลยที่ 3 นั้น เนื่องจากจำเลยที่ 3 เป็นนิติบุคคลการแสดงเจตนากระทำโดยผู้มีอำนาจทำการแทนตามกฎหมายหรือบุคคลที่ได้รับมอบหมายจากผู้มีอำนาจนั้น โจทก์ก็มิได้นำสืบให้เห็นว่าบุคคลที่กล่าวมารู้จักโจทก์เป็นการส่วนตัวและรู้ว่าโจทก์เป็นภริยาจำเลยที่ 1 แต่กลับปรากฎจากข้อนำสืบของโจทก์เองว่า เมื่อโจทก์กับจำเลยที่ 1 ซื้อที่ดินและบ้านพิพาทจากบริษัทสินสมบูรณ์การเคหะจำกัด นั้น โจทก์กับจำเลยที่ 1 จดทะเบียนสมรสกันตามกฎหมายแล้วส่วนราคาที่ซื้อขายที่โจทก์อ้างว่าราคาซื้อขายต่ำกว่าที่ควรนั้นปรากฎตามสัญญาจำนองเอกสารหมาย จ.8 ว่า จำเลยที่ 3 รับจำนองจากจำเลยที่ 2 เป็นจำนวนเงิน 172,000 บาท โดยปกติธนาคารจะตีราคาทรัพย์ที่รับจำนองต่ำกว่าราคาที่แท้จริง ส่วนราคาซื้อขายระหว่างจำเลยที่ 1 กับจำเลยที่ 2 ตามเอกสารหมาย จ.7แม้จะเป็นราคาเดียวกับที่จำเลยที่ 3 รับจำนองก็ไม่ได้แสดงว่าจำเลยที่ 3 รับจำนองทรัพย์ดังกล่าวโดยไม่สุจริต เพราะการซื้อขายเป็นไปตามความประสงค์ของผู้ซื้อและผู้ขายไม่เกี่ยวกับผู้รับจำนองเมื่อไม่ปรากฎจากข้อนำสืบของโจทก์ว่าโจทก์ได้แจ้งให้จำเลยที่ 2และที่ 3 ทราบว่าโจทก์เป็นภริยาที่ชอบด้วยกฎหมายของจำเลยที่ 1ทั้งยังรับรู้ถึงการที่จำเลยที่ 1 กู้เงินจากจำเลยที่ 3 โดยจดทะเบียนจำนองที่ดินและบ้านพิพาทเป็นประกันดังได้วินิจฉัยมาโจทก์จะคาดหมายให้บุคคลภายนอกต้องรับรู้สถานะทางครอบครัวระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 จึงเป็นการอ้างที่ไร้เหตุผล ทั้งโจทก์ก็ไม่อาจนำมาอ้างให้เป็นที่เสื่อมสิทธิแก่บุคคลภายนอกซึ่งได้กระทำการโดยสุจริตและเสียค่าตอบแทนได้ ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามานั้นศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้นพิพากษายืน

Share