คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 327/2540

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

นอกจากโจทก์จะมีมารดาผู้ตายเป็นประจักษ์พยานแล้วยังมีแพทย์ผู้รักษาผู้ตายเบิกความสนับสนุนว่าวันเกิดเหตุมารดาผู้ตายแจ้งว่าผู้ตายถูกจำเลยจับโยนและพนักงานสอบสวนเบิกความว่าหลังจากผู้ตายถึงแก่ความตายจำเลยได้มอบตัวและให้การรับสารภาพโดยนำไปชี้ที่เกิดเหตุซึ่งพยานโจทก์สอดคล้องกันมีน้ำหนักน่าเชื่อจำเลยเองก็เบิกความรับว่าวันเกิดเหตุได้ผลักผู้ตายเข้าไปหามารดาผู้ตายจริงจึงเจือสมกับพยานโจทก์และเมื่อผู้ตายตายเพราะกระดูกต้นคอท่อนที่7เคลื่อนที่ไปข้างหลังจากการกระทำของจำเลยทำให้ภาวะการหายใจล้มเหลวมิได้ตายเพราะโรคเลือดคั่งในสมองกำเริบอันเป็นอาการบาดเจ็บที่มีอยู่เดิมซึ่งแม้จำเลยจะไม่มีเหตุโกรธเคืองกับผู้ตายโดยตรงแต่ก็มีสาเหตุกับมารดาผู้ตายการที่จำเลยจับผู้ตายซึ่งเป็นเด็กอายุเพียง3ปีโยนใส่มารดาผู้ตายหลายครั้งจนศีรษะผู้ตายกระแทกตะกร้ากระดูกต้นคอเคลื่อนย่อมเล็งเห็นผลได้ว่าอาจเป็นต้นเหตุให้ผู้ตายถึงแก่ความตายได้จำเลยจึงมีความผิดฐานฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 288 ให้จำคุกตลอดชีวิต คำให้การชั้นสอบสวนและทางนำสืบของจำเลยเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาอยู่บ้าง มีเหตุบรรเทาโทษลดโทษให้หนึ่งในสาม ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ประกอบมาตรา 53 คงจำคุก 33 ปี 4 เดือน
จำเลย อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ ภาค 3 พิพากษายืน
จำเลย ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ทางพิจารณาโจทก์นำสืบว่านางโสภา อรุณวิมล ผู้เสียหายเคยเป็นภริยาของนายสมชาย เกตุพิมลมีบุตรด้วยกัน 2 คน คือเด็กหญิงกรรณิการ์หรือกรรณิกา เกตุพิมลหรืออรุณวิมล ผู้ตายและเด็กหญิงสุกัญญา เกตุพิมล เมื่อผู้เสียหายเลิกอยู่กินกับนายสมชายได้นำบุตรทั้งสองคนมาให้มารดาเลี้ยงดูที่บ้านเลขที่ 1/1 หมู่ 7 ตำบลบางวัน อำเภอคุระบุรีจังหวัดพังงา ต่อมาผู้เสียหายมาอยู่กินกับจำเลยโดยไม่ได้จดทะเบียนสมรส ผู้เสียหายนำผู้ตายซึ่งมีอายุประมาณ 3 ปี มาพักร่วมกับจำเลยที่ขนำบ่อเลี้ยงกุ้งของนายกฤษ ศรีฟ้า นายจ้างจำเลยขณะผู้เสียหายอยู่กินกับจำเลยจำเลยเคยพูดกับผู้เสียหายว่าจะทำการทารุณผู้ตายมาโดยตลอด ผู้ตายเองเล่าให้ผู้เสียหายฟังว่าขณะอยู่กับจำเลยเคยถูกจำเลยทำร้ายร่างกาย ประมาณเดือนธันวาคม2537 จำเลยพาผู้ตายนั่งซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์ เมื่อกลับมาปรากฏว่าผู้ตายมีบาดแผลฟกช้ำและมีรอยถลอกโดยจำเลยบอกว่าได้ทำผู้ตายตกจากรถจักรยานยนต์ หลังจากนั้นประมาณ 3 วัน ผู้เสียหายออกไปซื้อกับข้าวโดยปล่อยให้ผู้ตายอยู่กับจำเลยตามลำพัง เมื่อกลับมาพบผู้ตายนอนแน่นิ่งไม่ได้สติ มีน้ำลายฟูมปากเนื้อตัวเขียว ตาบวม แพทย์ตรวจแล้วบอกว่าผู้ตายช็อกเนื่องจากตกใจกลัวอะไรบางอย่างและได้ส่งผู้ตายไปรักษาที่โรงพยาบาลสุราษฎร์ธานี ผลการรักษาแพทย์แจ้งว่าผู้ป่วยเป็นโรคเลือดคั่งในสมอง เมื่อรักษาหายจึงนำตัวผู้ตายกลับบ้านผู้ตายมีอาการหวาดกลัวจำเลยมาก ก่อนผู้เสียหายมาอยู่กินกับจำเลยผู้ตายมีนิสัยร่าเริง ภายหลังมาอยู่กับจำเลยแล้วผู้ตายมีนิสัยไม่ร่าเริง หวาดกลัว และผู้เสียหายมีเรื่องทะเลาะกับจำเลยเกี่ยวกับผู้ตายมาโดยตลอด เมื่อวันที่ 25 มกราคม 2538 จำเลยมารับผู้เสียหาย กับผู้ตายไปที่ขนำบ่อเลี้ยงกุ้ง ครั้นเวลาประมาณ18 นาฬิกา ผู้เสียหายออกไปซื้อกับข้าว ปล่อยให้ผู้ตายอยู่กับจำเลยเมื่อกลับมาในเวลาประมาณ 19 นาฬิกา ผู้เสียหายไม่พบจำเลยพบผู้ตายนั่งร้องไห้ ผู้เสียหายสอบถามผู้ตายเปิดเสื้อผ้าบริเวณสะโพกให้ดูปรากฏว่ามีรอยฟกช้ำ ผู้ตายบอกว่าถูกจำเลยตี วันที่26 มกราคม 2538 เวลา 11.30 นาฬิกา ผู้เสียหายสอบถามจำเลยว่าเป็นคนตีผู้ตายหรือไม่ จำเลยปฏิเสธแล้วเดินออกไป ผู้เสียหายตั้งใจจะไม่อยู่กินกับจำเลยจึงได้จัดเก็บเสื้อผ้าโดยผู้ตายนอนหลับที่ห้องนอนภายในขนำ เมื่อจำเลยกลับมาได้สอบถาม ผู้เสียหายตอบว่าจะพาผู้ตายไปอยู่กับน้องสาว จำเลยโมโหและเดินเข้าไปจับตัวผู้ตายชูขึ้นเหนือศีรษะ ขณะนั้นผู้เสียหายลุกขึ้นจำเลยถีบผู้เสียหายจนนั่งลงกับพื้นแล้วทุ่มผู้ตายใส่ผู้เสียหาย แล้วจำเลยแย่งตัวผู้ตายมาทุ่มใส่ผู้เสียหายอีก จำเลยกระทำเช่นนี้4 ครั้ง ผู้เสียหายรับตัวผู้ตายไว้ได้ 3 ครั้ง แต่ในครั้งที่ 4ศีรษะของผู้ตายไปถูกตะกร้าใส่เสื้อผ้า ผู้ตายมีอาการชักกระตุกคอพับไม่ได้สติ ขณะนั้นนายกฤษมาพบจึงขับรถยนต์กระบะพาผู้เสียหายและผู้ตายไปโรงพยาบาล ผู้ตายอยู่ได้เพียง 10 ชั่วโมงก็ถึงแก่ความตาย จำเลยมอบตัวต่อเจ้าพนักงานตำรวจในวันเกิดเหตุพนักงานสอบสวนแจ้งข้อหาจำเลยว่าฆ่าคนตายโดยไม่เจตนาชั้นสอบสวนจำเลยให้การรับสารภาพ ต่อมาพนักงานสอบสวนแจ้งข้อหาเพิ่มเติมว่า ฆ่าคนตายโดยเจตนา จำเลยให้การรับสารภาพ
จำเลยนำสืบว่า จำเลยเพียงแต่ผลักผู้ตายเข้าไปหานางโสภาเท่านั้น
พิเคราะห์แล้ว นางโสภา อรุณวิมล มารดาผู้ตายเบิกความเป็นพยานโจทก์ว่า วันที่ 25 มกราคม 2538 นางโสภาออกไปซื้อกับข้าวปล่อยให้ผู้ตายอยู่กับจำเลย กลับมาประมาณ 1 ทุ่ม พบผู้ตายนั่งร้องไห้ได้สอบถามผู้ตาย ผู้ตายไม่สามารถลุกขึ้นได้ ได้เปิดเสื้อบริเวณสะโพกให้ดูรอยฟกช้ำและชี้ว่าจำเลยเป็นคนดี เมื่อจำเลยกลับมานางโสภาไม่ได้สอบถามอะไร วันรุ่งขึ้นซึ่งเป็นวันเกิดเหตุเวลา 11.30 นาฬิกา นางโสภาสอบถามจำเลยว่าเป็นคนตีผู้ตายหรือไม่ จำเลยปฏิเสธ นางโสภาคิดว่าจะไม่อยู่ร่วมเป็นสามีภริยากับจำเลยจึงได้จัดเก็บเสื้อผ้าโดยผู้ตายนอนหลับอยู่ภายในขนำ เมื่อจำเลยกลับมาได้ถามว่าจะไปไหน นางโสภาบอกว่าจะพาผู้ตายไปอยู่กับน้องสาวจำเลยพูดว่าอยากไปอยู่มากนักหรือแล้วจำเลยจับกระเป๋าฟาดใส่ นางโสภาพูดว่าเมื่อได้ตัวนางโสภามาเป็นภริยาแล้วทำไมจึงรักแต่ตัวนางโสภาไม่รักลูกด้วยและบอกจำเลยว่าจะไม่อยู่เป็นภริยาจำเลย จำเลยได้ตะโกนขึ้นว่าไอ้กิ้พ (ชื่อเล่นของผู้ตาย) แม่จะไปแล้วมึงไม่ไปด้วยหรือผู้ตายซึ่งนอนอยู่พยายามที่จะลุกแต่ลุกไม่ได้ จำเลยตรงเข้าไปจับตัวผู้ตายชูขึ้นเหนือศีรษะในขณะนั้นนางโสภากำลังนั่งอยู่เมื่อลุกขึ้นจำเลยถีบนางโสภาจนนั่งลงกับพื้น แล้วจำเลยทุ่มตัวผู้ตายใส่นางโสภา นางโสภารับแล้วกอดผู้ตายไว้แต่จำเลยได้มาแย่งผู้ตายไปโยนในลักษณะขว้างใส่นางโสภาจำเลยทำเช่นนี้ 3 ครั้ง ติดต่อกัน นางโสภารับตัวผู้ตายไว้ได้แต่ครั้งที่ 4 จำเลยจับตัวผู้ตายโยนในลักษณะขว้างใส่นางโสภาอีกครั้งหนึ่งจนศีรษะผู้ตายโดนตะกร้าซึ่งใช้ใส่เสื้อผ้า ผู้ตายมีอาการชักกระตุก คอพับ ไม่ได้สติ ขณะนั้นนายกฤษเจ้าของบ่อกุ้งมาพบจึงได้พาส่งโรงพยาบาล เมื่อไปถึงแพทย์สอบถามว่าไปโดนอะไรมานางโสภาแจ้งว่าโดนบิดาซึ่งเป็นพ่อเลี้ยงผู้ตายทำร้ายร่างกายแพทย์นำตัวผู้ตายเข้าห้องไอซียู ผู้ตายอยู่ได้ 10 ชั่วโมง ก็ตายนายสมศักดิ์ โชคสุชาติ แพทย์ผู้รักษาผู้ตายเบิกความเป็นพยานโจทก์ว่าได้ตรวจรักษาผู้ตายในวันเกิดเหตุเวลาประมาณ 12 นาฬิกาผู้ตายมีลักษณะเขียวตามตัวไม่หายใจ หัวใจไม่เต้น รูม่านตาขยายสอบถามได้ความว่านางโสภาทะเลาะกับจำเลยจำเลยจับผู้ตายโยนใส่นางโสภา 3 ถึง 4 ครั้ง หลังจากนั้นผู้ตายไม่หายใจจากสภาพผู้ตายตามหลักวิชาแพทย์ถือว่าถึงแก่ความตายแล้วเป็นเวลาไม่ต่ำกว่า 5 นาที นายสมศักดิ์รักษาโดยใช้น้ำเกลือ ให้ยากระตุ้นหัวใจ ปั๊มหัวใจใส่ท่ออากาศช่วยหายใจ หัวใจผู้ตายเต้นอีกครั้งและผู้ตายตายเมื่อเวลา 20.50 นาฬิกา วันเดียวกัน นายสมศักดิ์ได้ทำรายงานผลการตรวจชันสูตรบาดแผลหรือศพของนายแพทย์และรายงานการชันสูตรพลิกศพไว้ ตามเอกสารหมาย จ.4 และ จ.5จากการเอกซเรย์ปรากฏว่ากระดูกต้นคอท่อนที่ 7 ของผู้ตายเคลื่อนไปทางข้างหลัง และเบิกความตอบโจทก์ถามติงว่า ในกรณีจับตัวโยนสามารถทำให้กระดูกต้นคอเคลื่อนที่ได้ ร้อยตำรวจโทบุญทบ ล้านทองพนักงานสอบสวนเบิกความเป็นพยานโจทก์ว่า ชั้นสอบสวนจำเลยให้การรับสารภาพตามเอกสารหมาย จ.15 ได้นำไปชี้ที่เกิดเหตุประกอบคำรับสารภาพตามเอกสารหมาย จ.17 และจำเลยได้ขอขมาศพตามภาพหมาย จ.18 พยานจำเลยมีตัวจำเลยเบิกความเป็นพยานว่าวันเกิดเหตุจำเลยห้ามไม่ให้นางโสภาออกไปข้างนอก นางโสภาไม่ยอมเชื่อฟังด้วยความโมโหจำเลยจึงผลักผู้ตายเข้าไปหานางโสภานางโสภาได้สวมกอดผู้ตายหลังจากนั้นผู้ตายมีอาการชักเห็นว่านอกจากโจทก์จะมีนางโสภาเป็นประจักษ์พยานแล้วโจทก์ยังมีนายสมศักดิ์แพทย์ผู้รักษาผู้ตายเบิกความสนับสนุนว่า วันเกิดเหตุนางโสภาแจ้งว่าผู้ตายถูกจำเลยจับโยนและโจทก์มีร้อยตำรวจโทบุญทบพนักงานสอบสวนเบิกความเป็นพยานว่าหลังจากผู้ตายถึงแก่ความตายจำเลยได้มอบตัวต่อร้อยตำรวจโทบุญทบให้การรับสารภาพตามเอกสารหมาย จ.14 และในชั้นสอบสวนจำเลยก็ให้การรับสารภาพตามเอกสารหมาย จ.15 จำเลยได้นำไปชี้ที่เกิดเหตุประกอบคำรับสารภาพด้วย ตามบันทึกการนำชี้สถานที่เกิดเหตุประกอบคำรับสารภาพเอกสารหมาย จ.17 และ จ.18 พยานโจทก์สอดคล้องกันมีน้ำหนักน่าเชื่อ จำเลยเองก็เบิกความรับว่าวันเกิดเหตุได้ผลักผู้ตายเข้าไปหานางโสภาจริง จึงเจือสมกับพยานโจทก์พยานจำเลยไม่มีน้ำหนักพอฟังหักล้างพยานโจทก์ได้ ส่วนที่จำเลยฎีกาว่าผู้ตายตายเพราะนางโสภาทำตกจากรถจักรยานยนต์อีกครั้ง หรือตายเพราะโรคเลือดคั่งในสมองกำเริบนั้น ปรากฏจากทางนำสืบของโจทก์จำเลยรับกันว่าผู้ตายตกจากรถจักรยานยนต์เมื่อปลายเดือนธันวาคม 2537 ผู้ตายได้รับการรักษาที่โรงพยาบาลสุราษฎร์ธานีจนกลับมาอยู่ที่ขนำบ่อเลี้ยงกุ้งแล้วจึงเกิดเหตุคดีนี้ มีข้อแตกต่างจากการนำสืบเพียงว่านางโสภาหรือจำเลยเป็นคนทำผู้ตายตกจากรถจักรยานยนต์ หลังจากเกิดเหตุคดีนี้เมื่อผู้ตายหมดสติอยู่ในขนำบ่อเลี้ยงกุ้ง ได้ความจากคำเบิกความจำเลยว่าขณะที่นางโสภาจะนำผู้ตายไปโรงพยาบาลนายกฤษมาพบเข้าและได้นำผู้ตายกับนางโสภาขึ้นรถยนต์กระบะของนายกฤษไปส่งที่โรงพยาบาล ส่วนจำเลยขับรถจักรยานยนต์ตามไปภายหลัง ข้อเท็จจริงจึงฟังได้ว่าผู้ตายตกจากรถจักรยานยนต์ก่อนเกิดเหตุ 1 ครั้ง หลังเกิดเหตุแล้วผู้ตายไม่ได้ตกจากรถจักรยานยนต์อีก นายสมศักดิ์แพทย์ผู้รักษาผู้ตายเบิกความว่าในวันที่ 22 ธันวาคม 2537 ผู้ตายมารักษาตัวที่โรงพยาบาลตะกั่วป่าตรวจพบว่ามีเลือดคั่งในสมองโรงพยาบาลตะกั่วป่าจึงส่งตัวไปรักษาที่โรงพยาบาลสุราษฎร์ธานี หากผู้ป่วยด้วยโรคเลือดคั่งในสมองเดินได้ พูดได้แสดงว่าก้อนเลือดเล็กลงและเมื่อแพทย์ให้ผู้ตายกลับบ้านได้ก็คิดว่าอาการของผู้ตายดีขึ้นแล้ว ตามรายงานผลการตรวจชันสูตรบาดแผลหรือศพของนายแพทย์เอกสารหมาย จ.4ซึ่งนายสมศักดิ์รับตัวผู้ตายไว้เมื่อวันที่ 26 มกราคม 2538นายสมศักดิ์ตรวจพบว่ากระดูกต้นคอของผู้ตายท่อนที่ 7 เคลื่อนที่ไปข้างหน้า (ที่ถูกเป็นข้างหลัง) ทำให้ระบบหายใจไม่เป็นปกติผู้ตายตายเนื่องจากขาดออกซิเจนภาวะหายใจล้มเหลวข้อเท็จจริงจึงฟังได้ว่าผู้ตายตายเพราะกระดูกต้นคอท่อนที่ 7 เคลื่อนที่ไปข้างหลังจากการกระทำของจำเลย ทำให้ภาวะการหายใจล้มเหลว มิได้ตายเพราะโรคเลือดคั่งในสมองกำเริบ แม้จำเลยจะไม่มีเหตุโกรธเคืองกับผู้ตายโดยตรงแต่จำเลยก็มีสาเหตุกับนางโสภามารดาผู้ตาย การที่จำเลยโกรธนางโสภาแล้วจับผู้ตายซึ่งเป็นเด็กอายุเพียง 3 ปี โยนใส่นางโสภาหลายครั้งจนศีรษะผู้ตายกระแทกตะกร้ากระดูกต้นคอเคลื่อนจำเลยย่อมเล็งเห็นผลได้ว่าการกระทำดังกล่าวอาจเป็นเหตุให้ผู้ตายถึงแก่ความตายได้ เมื่อผู้ตายถึงแก่ความตายจำเลยจึงต้องมีความผิดฐานฆ่าผู้อื่นโดยเจตนาตามที่ศาลล่างทั้งสองวินิจฉัยฎีกาจำเลยฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน

Share