คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3262/2516

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ฎีกาของจำเลยที่ว่า โจทก์นำสืบไม่ได้ว่าจำเลยรับรถยนต์ของกลางไว้โดยรู้ว่าเป็นทรัพย์อันได้มาโดยการกระทำความผิดฐานลักทรัพย์ซึ่งเพียงแต่ระบุว่าโจทก์นำสืบไม่ได้ แต่มิได้ระบุข้อเท็จจริงให้ปรากฏว่านำสืบไม่ได้อย่างไร เป็นฎีกาที่ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 193 วรรค 2, 225 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า ได้มีคนร้ายลักรถยนต์เก๋ง ๑ คัน ของนางมัลลิกาไปต่อมาเจ้าพนักงานจับจำเลยทั้งสองได้พร้อมด้วยรถยนต์เก๋งที่ถูกลักไปดังกล่าวเป็นของกลาง ทั้งนี้จำเลยทั้งสองได้ร่วมกันลักหรือรับรถยนต์คันนี้ไว้จากคนร้าย โดยรู้อยู่แล้วว่าเป็นทรัพย์อันได้มาจากการกระทำผิดฐานลักทรัพย์ จำเลยที่ ๒ เคยต้องโทษจำคุกมาแล้ว ขอให้ลงโทษและเพิ่มโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๓๕(๑) (๓) (๗), ๓๕๗, ๘๓, ๙๓
จำเลยที่ ๑ ให้การปฏิเสธ จำเลยที่ ๒ ให้การรับสารภาพฐานรับของโจร และรับข้อเคยต้องโทษ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยทั้งสองมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๕๗, ๘๓ และเพิ่มโทษจำเลยที่ ๒ กึ่งหนึ่ง ตามมาตรา ๙๓จำคุกจำเลยที่ ๑ สี่ปี จำเลยที่ ๒ หกปี
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยทั้งสองฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งรับเฉพาะฎีกาของจำเลยที่ ๒
ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อกฎหมายว่า ที่จำเลยที่ ๒ ฎีกาว่าโจทก์นำสืบไม่ได้ว่าจำเลยรับรถยนต์ของกลางไว้โดยรู้ว่าเป็นทรัพย์อันได้มาโดยการกระทำความผิดฐานลักทรัพย์นั้น เห็นว่าฎีกาของจำเลยข้อนี้เพียงแต่ระบุว่าโจทก์นำสืบไม่ได้เท่านั้น แต่มิได้ระบุข้อเท็จจริงให้ปรากฏว่านำสืบไม่ได้อย่างไร จึงเป็นฎีกาที่ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๑๙๓ วรรค ๒, ๒๒๕ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้
ส่วนข้อเท็จจริงเห็นว่าควรลดโทษให้จำเลยที่ ๒ กึ่งหนึ่ง

Share