คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2126/2516

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็คฯเกิดขึ้นเมื่อธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงิน วันที่ผู้เสียหายนำเช็คไปสอบถามเจ้าหน้าที่ธนาคาร และเจ้าหน้าที่ธนาคารบอกว่าเงินในบัญชีของจำเลยไม่มีหาใช่เป็นเรื่องธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินตามเช็คนั้นไม่ วันนั้นความผิดของจำเลยจึงยังไม่เกิด ความผิดของจำเลยเกิดขึ้นตั้งแต่วันที่ผู้เสียหายนำเช็คเข้าเบิกเงินต่อธนาคาร และธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงิน
ออกเช็คครั้งเดียวสองฉบับ เป็นกรรมเดียวกัน ไม่ใช่เป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยออกเช็ค 2 ฉบับ สั่งจ่ายเงินฉบับละ 3,000 บาท ลงวันที่สั่งจ่ายวันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2512 มอบให้นางเอมอร อุพารกุล เป็นการชำระหนี้ ต่อมาเมื่อวันที่ 10 มิถุนายน 2512 นางเอมอรนำเช็คทั้งสองฉบับนั้นไปเบิกเงินจากธนาคาร และในวันนั้นเองธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงิน ทั้งนี้โดยจำเลยออกเช็คด้วยเจตนาจะไม่ให้มีการใช้เงินตามเช็คและออกเช็คให้ใช้เงินที่มีจำนวนสูงกว่าจำนวนที่มีอยู่ในบัญชีอันจะพึงให้ใช้เงินได้ในขณะออกเช็ค ผู้เสียหายได้ร้องทุกข์ภายในอายุความตามกฎหมายแล้ว ขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2497 มาตรา 3

จำเลยให้การปฏิเสธ

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2497 มาตรา 3 ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 91 จำคุก 1 เดือน

จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

จำเลยฎีกาข้อกฎหมายว่า คดีขาดอายุความ

ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงตามที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยมาแล้วจากพยานหลักฐานในสำนวนว่าวันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2512 นั้น ถึงกำหนดวันสั่งจ่าย นางเอมอรนำเช็คไปสอบถามเจ้าหน้าที่ธนาคารแจ้งว่าเงินในบัญชีไม่พอจ่าย นางเอมอรจึงไปทวงถามจำเลย จำเลยขอผัดผ่อนตลอดมา จนเมื่อวันที่ 10 มิถุนายน 2512 จึงได้นำเช็คไปเบิกเงินจากธนาคาร และธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงิน จำเลยเห็นว่านางเอมอรได้นำเช็คไปเบิกเงินในวันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2512 และทางธนาคารได้บอกว่าเงินในบัญชีของจำเลยมีไม่พอจ่ายแล้ว คดีจึงขาดอายุความ

ที่จำเลยฎีกาว่า คดีของโจทก์ขาดอายุความนั้น คงจะหมายความว่าคดีนี้เป็นความผิดต่อส่วนตัวตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 4 แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2497 หรือที่ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 96 เรียกว่าเป็นความผิดอันยอมความได้ ซึ่งถ้าผู้เสียหายมิได้ร้องทุกข์ภายในสามเดือนนับแต่วันรู้เรื่องความผิดและรู้ตัวผู้กระทำความผิดเป็นอันขาดอายุความ ตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายอาญามาตรานั้น

ข้อเท็จจริงได้ความตามที่ศาลอุทธรณ์ฟังมาว่า วันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2512 ซึ่งเป็นวันสั่งจ่ายของเช็คสองฉบับที่จำเลยมอบให้นางเอมอรผู้เสียหาย นางเอมอรเอาเช็คสองฉบับนั้นไปถามเจ้าหน้าที่ธนาคารว่ามีเงินตามเช็คหรือไม่ เจ้าหน้าที่ธนาคารว่าเงินในบัญชีของจำเลยไม่มีนางเอมอรจึงไปทวงถามจำเลย แต่จำเลยไม่มีให้ จนเมื่อวันที่ 10 มิถุนายน 2512 นางเอมอรจึงนำเช็คสองฉบับนั้นเข้าเบิกเงินต่อธนาคาร แต่ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงิน เพราะเงินในบัญชีของจำเลยไม่พอจ่าย หลังจากนั้น 2-3 วัน นางเอมอรจึงไปแจ้งความต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจให้ดำเนินคดี

ศาลฎีกาพิเคราะห์แล้วเห็นว่า อันความผิดฐานออกเช็คโดยเจตนาไม่ให้มีการใช้เงินตามเช็ค ตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2497 นั้น เกิดขึ้นเมื่อธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินตามนัยคำพิพากษาฎีกาที่ 228/2503 ระหว่าง พนักงานอัยการ กรมอัยการ และนายเงาะ แสงใหญ่ โจทก์ นายอุปกรณ์ แก้วเจริญ จำเลย การที่นางเอมอรนำเช็คไปถามเจ้าหน้าที่ธนาคารว่าเงินของจำเลยมีตามเช็คหรือไม่ เมื่อวันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2512 และเจ้าหน้าที่ธนาคารว่าไม่มีเงินนั้น เป็นการสอบถามกันเป็นทำนองส่วนตัวระหว่างนางเอมอรกับเจ้าหน้าที่ธนาคาร หาใช่เป็นเรื่องที่ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินตามเช็คนั้นไม่ วันนั้นความผิดของจำเลยจึงยังไม่เกิด วันที่ 10 มิถุนายน 2512 นางเอมอรนำเช็คเข้าเบิกเงินต่อธนาคาร และธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงิน ความผิดของจำเลยเกิดขึ้นในวันนั้น นางเอมอรร้องทุกข์ต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจ 2-3 วันหลังจากนั้น จึงไม่ขาดอายุความ ฎีกาจำเลยฟังไม่ขึ้น

ปรากฏว่าจำเลยออกเช็คครั้งเดียวสองฉบับ เป็นกรรมเดียวกัน ไม่ใช่เป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 การปรับบทลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ด้วย จึงไม่ถูกต้อง

พิพากษาแก้ จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2497 มาตรา 3 นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

Share