แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
การขอให้เพิกถอนการโอนตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483มาตรา 114 เป็นอำนาจของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์เท่านั้นที่จะร้องขอต่อศาล เมื่อศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาไม่เพิกถอนการโอนทรัพย์สินดังกล่าว การที่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์จะอุทธรณ์คำพิพากษาของศาลชั้นต้นต่อไปหรือไม่ ย่อมเป็นอำนาจของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์โดยเฉพาะเท่านั้น ทั้งกรณีที่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์จะกระทำการใดได้ต่อเมื่อได้รับความเห็นชอบของกรรมการเจ้าหนี้แล้ว มีแต่เฉพาะการกระทำตามมาตรา 145(1) ถึง (5)เท่านั้น แต่การที่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ไม่อุทธรณ์คำพิพากษาของศาลชั้นต้นมิใช่เป็นการสละสิทธิตามมาตรา 145(3) จึงถือไม่ได้ว่าเป็นการกระทำที่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์จะต้องได้รับความเห็นชอบของกรรมการเจ้าหนี้เสียก่อน การที่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์มีคำวินิจฉัยไม่อุทธรณ์คำพิพากษาของศาลชั้นต้นดังกล่าวก็ไม่ปรากฏว่าได้ใช้ดุลพินิจสั่งโดยไม่ชอบ จึงถือไม่ได้ว่าเจ้าหนี้ได้รับความเสียหายโดยคำวินิจฉัยของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ที่จะยื่นคำร้องขอให้ศาลมีคำสั่งกลับคำวินิจฉัยของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ตามมาตรา 146 ได้
ย่อยาว
คดีนี้สืบเนื่องจากศาลชั้นต้นพิพากษาให้ลูกหนี้ (จำเลย)เป็นบุคคลล้มละลาย เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ยื่นคำร้องขอให้ศาลมีคำสั่งเพิกถอนการโอนที่ดินโฉนดเลขที่ 8750 พร้อมตึกแถวเลขที่ 149 และ 149/1-4 ระหว่างลูกหนี้กับผู้คัดค้านและให้กลับคืนสู่ฐานะเดิม หากไม่สามารถกลับคืนสู่ฐานะเดิมได้ ให้ผู้คัดค้านใช้ราคาที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างเป็นเงิน 24,285,600 บาทและดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันยื่นคำร้องจนกว่าจะชำระเสร็จ ศาลชั้นต้นไต่สวนแล้วมีคำพิพากษาให้ยกคำร้องของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์เห็นว่าคำพิพากษาของศาลชั้นต้นชอบแล้ว จึงมีคำวินิจฉัยไม่อุทธรณ์
เจ้าหนี้รายที่ 26 ยื่นคำร้องต่อศาลชั้นต้นว่า การที่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์มีคำวินิจฉัยไม่อุทธรณ์คำพิพากษาของศาลชั้นต้นที่ยกคำร้องขอเพิกถอนการโอนของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์เป็นการกระทำโดยไม่ได้รับความเห็นชอบของกรรมการเจ้าหนี้จึงไม่ผูกพันเจ้าหนี้รายที่ 26 และเจ้าหนี้ทั้งหลาย ทั้งทำให้เจ้าหนี้รายที่ 26 และเจ้าหนี้ทั้งหลายได้รับความเสียหายขอให้มีคำสั่งกลับคำวินิจฉัยของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์โดยให้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์อุทธรณ์คำพิพากษาของศาลชั้นต้นต่อไป
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งยืนตามคำวินิจฉัยของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ให้ยกคำร้อง เจ้าหนี้รายที่ 26 อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน เจ้าหนี้รายที่ 26 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “การขอให้เพิกถอนการโอนตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 114 เป็นอำนาจของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์เท่านั้นที่จะร้องขอต่อศาล คดีนี้เมื่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ยื่นคำร้องขอให้ศาลมีคำสั่งเพิกถอนการโอนที่ดินและสิ่งปลูกสร้างระหว่างลูกหนี้กับผู้คัดค้านต่อศาลชั้นต้นแล้ว การดำเนินกระบวนพิจารณาในศาลจึงเป็นอำนาจหน้าที่ของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์เมื่อศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาไม่เพิกถอนการโอนทรัพย์สินดังกล่าวโดยเห็นว่าผู้คัดค้านรับโอนไว้โดยสุจริตและมีค่าตอบแทน จึงให้ยกคำร้องของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ การที่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์จะอุทธรณ์คำพิพากษาของศาลชั้นต้นต่อไปหรือไม่ย่อมเป็นอำนาจของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์โดยเฉพาะเท่านั้นฉะนั้นที่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์มีคำวินิจฉัยไม่อุทธรณ์คำพิพากษาของศาลชั้นต้นจึงไม่ต้องได้รับความเห็นชอบของกรรมการเจ้าหนี้ส่วนกรณีที่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์จะกระทำการใดได้ต่อเมื่อได้รับความเห็นชอบของกรรมการเจ้าหนี้แล้ว มีแต่เฉพาะการกระทำตามมาตรา 145(1) ถึง (5) แห่งพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483เท่านั้น แต่การที่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ไม่อุทธรณ์คำพิพากษาของศาลชั้นต้นดังกล่าวหาใช่เป็นการสละสิทธิตามมาตรา 145(3)แห่งพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 ไม่ ทั้งถือไม่ได้ว่าเป็นการกระทำที่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์จะต้องได้รับความเห็นชอบของกรรมการเจ้าหนี้เสียก่อนดังที่เจ้าหนี้รายที่ 26 ฎีกาแต่อย่างใด การที่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์มีคำวินิจฉัยไม่อุทธรณ์คำพิพากษาของศาลชั้นต้นดังกล่าวก็ไม่ปรากฏว่าได้ใช้ดุลพินิจสั่งโดยไม่ชอบแต่ประการใด จึงถือไม่ได้ว่าเจ้าหนี้รายที่ 26 ได้รับความเสียหายโดยคำวินิจฉัยของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ที่จะยื่นคำร้องขอให้ศาลมีคำสั่งกลับคำวินิจฉัยของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ตามมาตรา 146 แห่งพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 ได้ กรณีจึงต้องยกคำร้องของเจ้าหนี้รายที่ 26 เสีย โดยไม่จำต้องวินิจฉัยปัญหาอื่นตามฎีกาของเจ้าหนี้รายที่ 26 ต่อไปอีก ที่ศาลล่างทั้งสองให้ยกคำร้องของเจ้าหนี้รายที่ 26 มานั้นชอบแล้ว”
พิพากษายืน