แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยโดยบรรยายฟ้องว่า จำเลยปลูกบ้านเลขที่7/29 ลงบนที่ดินแปลงที่จำเลยเช่า ส่วนคำขอท้ายฟ้องของโจทก์ขอให้จำเลยรื้อถอนบ้านเลขที่ 7 ออกไป ซึ่งแม้เลขที่บ้านจะไม่ตรงกับที่โจทก์บรรยายมาในคำฟ้องก็ตาม แต่ไม่ปรากฏว่าบ้านที่จำเลยปลูกในที่ดินที่เช่านั้นมีหลังอื่นอีก จึงย่อมเป็นที่เข้าใจได้ว่าบ้านที่โจทก์บรรยายมาในคำฟ้องก็คือบ้านหลังที่โจทก์ขอให้จำเลยรื้อถอนออกไปตามคำขอท้ายฟ้องของโจทก์ ทั้งการที่ศาลพิพากษาให้จำเลยรื้อถอนบ้านที่ปลูกในที่ดินที่เช่าออกไปนั้นไม่จำเป็นต้องระบุเลขที่บ้านก็มีผลบังคับได้อยู่แล้ว เพราะเมื่อจำเลยไม่มีสิทธิอยู่ในที่ดินที่เช่าแล้ว จำเลยก็ต้องขนย้ายทรัพย์สินของจำเลยทั้งหมดออกไปรวมทั้งบ้านที่ปลูกไว้ด้วย ดังนั้นคำพิพากษาที่ให้รื้อบ้านเลขที่ 7/29 ของจำเลยออกไปจากที่ดินที่เช่าจึงหาเป็นการพิพากษาเกินคำขอไม่
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขับไล่ให้จำเลยออกจากที่ดินที่เช่าจากโจทก์รื้อถอนโรงเรือนเลขที่ 7 ออกไปและใช้ค่าเสียหาย จำเลยให้การว่าสัญญาเช่ายังไม่ครบกำหนดเวลา โจทก์บอกเลิกการเช่าไม่ชอบศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยรื้อโรงเรือนเลขที่ 7/29 ออกจากที่พิพาท ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนจำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อกฎหมายว่า “สำหรับปัญหาตามฎีกาของจำเลยที่ว่า ศาลพิพากษาเกินคำขอของโจทก์หรือไม่นั้นเห็นว่าแม้โจทก์จะบรรยายฟ้องว่า จำเลยปลูกบ้านเลขที่ 7/29ลงบนที่ดินแปลงที่จำเลยเช่า ส่วนคำขอท้ายฟ้องของโจทก์ขอให้จำเลยรื้อถอนบ้านเลขที่ 7 และขนย้ายทรัพย์สินและบริวารออกไปจากที่ดินที่เช่า ซึ่งบ้านที่โจทก์ให้รื้อถอนออกไปนั้น เลขที่บ้านไม่ตรงกับที่โจทก์บรรยายมาในคำฟ้องก็ตาม แต่ไม่ปรากฏว่าบ้านที่จำเลยปลูกในที่ดินที่เช่านั้นมีหลังอื่นอีก ดังนั้น ย่อมเป็นที่เข้าใจกันระหว่างโจทก์จำเลยว่า บ้านหลังที่โจทก์บรรยายมาในคำฟ้องก็คือบ้านหลังที่โจทก์ขอให้จำเลยรื้อถอนออกไปตามคำขอท้ายฟ้องของโจทก์นั่นเอง ทั้งคำขอท้ายฟ้องของโจทก์ยังมีต่อไปอีกว่าให้จำเลยขนย้ายทรัพย์สินและบริวารออกไปจากที่ดินที่เช่าด้วยฉะนั้นการที่ศาลพิพากษาให้จำเลยรื้อถอนบ้านที่จำเลยปลูกในที่ดินที่เช่าออกไปนั้นไม่จำเป็นต้องระบุเลขที่บ้านก็มีผลบังคับได้อยู่แล้ว เพราะเมื่อจำเลยไม่มีสิทธิอยู่ในที่ดินที่เช่าต่อไป จำเลยจะต้องขนย้ายทรัพย์สินของจำเลยทั้งหมดออกไป ซึ่งรวมทั้งบ้านที่ปลูกไว้ด้วย ดังนั้น ศาลย่อมพิพากษาให้รื้อบ้านเลขที่ 7/29 ของจำเลยออกไปจากที่ดินที่เช่าได้ หาเป็นการพิพากษาเกินคำขอไม่ศาลอุทธรณ์พิพากษาชอบแล้ว ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน