แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 13 ศาลปรับบทลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา พ.ศ.2502 มาตรา 13 ได้ไม่เป็นการพิพากษาเกินคำขอ
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ถูกจำเลย 3 คนในอีกคดีหนึ่งทำร้ายร่างกาย แล้วโจทก์ได้แจ้งความต่อจำเลยซึ่งเป็นผู้ใหญ่บ้านให้จับกุมจำเลย 3 คนนั้น จำเลยไม่จับ กลับรายงานเท็จว่าโจทก์กับจำเลย 3 คนนั้นทะเลาะวิวาทกัน แม้ในคดีอีกเรื่องหนึ่งนั้นโจทก์ถูกฟ้องว่าสมัครใจวิวาทกับจำเลย 3 คนนั้น โจทก์รับสารภาพศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษไปแล้วหลังจากพิพากษาคดีนี้ แต่เมื่อคดีนี้ศาลล่างฟังข้อเท็จจริงต้องกันมาว่าโจทก์ถูกทำร้ายฝ่ายเดียวโจทก์เป็นผู้เสียหาย จำเลยจะฎีกาว่าโจทก์ไม่ใช่ผู้เสียหายเพราะโจทก์สมัครใจวิวาทกับอีกฝ่ายหนึ่งหาได้ไม่ เพราะเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงซึ่งต้องห้ามฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยเป็นผู้ใหญ่บ้าน มีอำนาจหน้าที่จับกุมผู้กระทำผิดตามกฎหมาย และมีหน้าที่ปกครองดูแลราษฎรในหมู่บ้าน โจทก์ถูกจำเลยทั้งสามในคดีอาญาหมายเลขดำที่ ๔๒๓/๒๕๑๔ ของศาลจังหวัดลำพูน กลุ้มรุมทำร้ายเป็นอันตรายแก่กาย โจทก์ได้แจ้งความต่อจำเลยให้จับกุมจำเลยในคดีดังกล่าวแล้วมาดำเนินคดีจำเลยละเว้นปฏิบัติการตามหน้าที่โดยมิชอบ มิได้ทำการจับกุมทำให้โจทก์เสียหาย ต่อมาจำเลยได้ช่วยจำเลยในคดีดังกล่าวข้างต้นมิให้ต้องถูกจับกุมในข้อหาทำร้ายร่างกายโจทก์ โดยได้รายงานเท็จต่อนายอำเภอผู้มีอำนาจสืบสวนคดีอาญาว่า โจทก์กับจำเลยในคดีนั้นได้เกิดทะเลาะวิวาทกันความจริงจำเลยที่กล่าวนั้นทำร้ายโจทก์ฝ่ายเดียว การกระทำของจำเลยทำให้โจทก์เสียหาย ขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๑๘๙, ๑๖๕ และพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๑๓
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว สั่งว่าคดีโจทก์มีมูลให้รับฟ้องโจทก์
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นฟังว่า โจทก์ถูกนายนครกับพวกจำเลยในคดีอาญาหมายเลขดำที่ ๔๒๓/๒๕๑๔ ของศาลจังหวัดลำพูนทำร้ายร่างกายโจทก์แต่ฝ่ายเดียว เมื่อจำเลยได้รับแจ้งจากโจทก์ให้จับกุมนายนครกับพวกจำเลยกลับละเว้นไม่ปฏิบัติหน้าที่ทำให้โจทก์เสียหายแต่เห็นว่าการกระทำของจำเลยเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๕๗ซึ่งได้แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๓ แม้โจทก์จะมิได้อ้างมาในฟ้อง แต่โจทก์ได้ระบุข้อเท็จจริงมาในฟ้อง และอ้างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๑๓ มาท้ายฟ้องแล้ว ศาลย่อมลงโทษจำเลยฐานนี้ได้ พิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๕๗ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๓ ให้ปรับจำเลย ๒,๐๐๐ บาท ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๒๙, ๓๐ คำขอของโจทก์นอกจากนี้ให้ยก
โจทก์อุทธรณ์ขอให้ลงโทษจำคุกจำเลย จำเลยอุทธรณ์ว่าไม่ได้กระทำผิดศาลชั้นต้นไม่มีอำนาจพิพากษาลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๑๕๗ เพราะเกินคำขอ และโจทก์ไม่ใช่ผู้เสียหาย ไม่มีอำนาจฟ้อง
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกาทำนองเดียวกับอุทธรณ์
ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อกฎหมายว่า คดีนี้ข้อเท็จจริงที่โจทก์บรรยายมาในฟ้องกล่าวถึงการกระทำของจำเลย เป็นความผิดตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๕๗ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา พ.ศ. ๒๕๐๒ มาตรา ๑๓ โดยชัดแจ้งการที่โจทก์ขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๓ นั้น ก็คงหมายความถึงประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๕๗ ที่ถูกแก้ไขเพิ่มเติมแล้วนั่นเองหากแต่โจทก์อ้างบทกฎหมายไม่ชัดเจนเท่านั้น เมื่อพิจารณาประกอบกับคำบรรยายฟ้องเห็นได้ว่าโจทก์ประสงค์ให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๕๗ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ. ๒๕๐๒ มาตรา ๑๓ ตามที่ศาลชั้นต้นปรับบทลงโทษจำเลยมานั้นถูกต้องแล้ว ฎีกาของจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
ส่วนข้อที่จำเลยฎีกาว่าโจทก์ถูกพนักงานอัยการฟ้องหาว่าสมัครใจวิวาทกับจำเลยที่ ๑, ๒, ๓ ตามคดีหมายเลขแดงที่ ๒/๒๕๑๕ ด้วย ซึ่งโจทก์รับสารภาพศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษไปแล้วหลังจากพิพากษาคดีนี้ โจทก์จึงไม่ใช่ผู้เสียหายนั้น เห็นว่า คดีนี้ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงต้องกันมาแล้วว่าโจทก์ถูกทำร้ายฝ่ายเดียว โจทก์เป็นผู้เสียหาย การที่จำเลยฎีกาว่าโจทก์ไม่ใช่ผู้เสียหายเพราะโจทก์สมัครใจวิวาทกับอีกฝ่ายหนึ่ง ทั้งนี้ไม่ว่าจำเลยจะอ้างเหตุผลว่าควรฟังเช่นนั้นจากหลักฐานอันใดก็ตามก็เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามมิให้จำเลยฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๒๑๘ ศาลฎีการับวินิจฉัยให้ไม่ได้
พิพากษายืน