แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
ศาลชั้นต้นได้มีคำสั่งให้โจทก์เป็นคนไร้ความสามารถและให้อยู่ ในความอนุบาลของ บ. และคำสั่งดังกล่าวถึงที่สุดแล้วแม้ภายหลังพันตำรวจโท ศ. จะได้ยื่นคำร้องขอต่อศาลชั้นต้นโดยไม่มีผู้คัดค้าน ขอให้ศาลมีคำสั่งให้โจทก์เป็น คนเสมือนไร้ความสามารถและศาลชั้นต้นได้ดำเนินการไต่สวนและมีคำสั่งให้โจทก์เป็นคนเสมือนไร้ความสามารถและให้อยู่ในความพิทักษ์ของพันตำรวจโท ศ. ก็ตามก็เป็นคนละคดีกัน คำสั่งของศาลชั้นต้นที่สั่งให้โจทก์เป็นคนเสมือนไร้ความสามารถอยู่ในความพิทักษ์ของพันตำรวจโท ศ.จึงไม่อาจเปลี่ยนแปลงยกเลิกเพิกถอนหรือลบล้างคำสั่งศาลชั้นต้นที่มีคำสั่งให้โจทก์เป็นคนไร้ความสามารถและให้อยู่ในความอนุบาล ของ บ. ได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 145 ส่วนคดีที่โจทก์ยื่นคำร้องขอต่อศาลชั้นต้นให้เพิกถอนคำสั่ง ที่สั่งให้โจทก์เป็นคนไร้ความสามารถซึ่ง บ. ยื่นคำคัดค้านและศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้เพิกถอนคำสั่งที่สั่งให้โจทก์เป็น คนไร้ความสามารถ แต่ บ. ยื่นอุทธรณ์และคดีดังกล่าวภายหลังศาลฎีกาได้มีคำพิพากษากลับคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ที่พิพากษายืน ตามคำสั่งศาลชั้นต้นให้เพิกถอนคำสั่งที่สั่งให้โจทก์เป็น คนไร้ความสามารถเป็นให้ยกคำร้องขอของโจทก์ ซึ่งหมายความว่า โจทก์ยังคงเป็นคนไร้ความสามารถอยู่ตามเดิมส่วนในคดีที่ พันตำรวจโท ศ. บุตรบุญธรรมของโจทก์ยื่นฟ้อง บ.ขอให้เพิกถอน บ. จากการเป็นผู้อนุบาลโจทก์ เป็นให้ยกฟ้องซึ่งหมายความว่า บ. ยังคงเป็นผู้อนุบาลของโจทก์อยู่ตามเดิมดังนั้น การที่โจทก์ทำหนังสือมอบอำนาจให้พันตำรวจโท พ. ฟ้องคดีนี้ในขณะที่โจทก์ยังเป็นคนไร้ความสามารถและอยู่ ในความอนุบาลของ บ.และการที่โจทก์ฟ้องคดีโดยอ้างว่าโจทก์เป็นคนเสมือนไร้ความสามารถโดยมีพันตำรวจโท ศ. เป็นผู้พิทักษ์นั้น เป็นการกระทำโดยโจทก์ไม่มีอำนาจที่จะกระทำได้ ต้องให้ บ.ผู้อนุบาลเป็นผู้กระทำการแทนโจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องกรณีหาใช่เป็นเรื่องของการบกพร่องในเรื่องความสามารถของโจทก์และจำต้องแก้ไขข้อบกพร่องนั้นเสียให้บริบูรณ์ภายในกำหนดเวลาอันสมควรดังที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยไม่เพราะเป็นกรณีที่โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องมาแต่ต้นแล้ว
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระเงินค่าเสียหายจำนวน3,126,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ และค่าเสียหายซึ่งเป็นค่าเช่าเดือนละ 12,000 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าสัญญาเช่าจำนวน69 ห้อง จะครบกำหนดแก่โจทก์
จำเลยให้การว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง เพราะโจทก์เป็นคนไร้ความสามารถตามคำสั่งศาลชั้นต้นตั้งแต่วันที่ 20กันยายน 2532 จึงไม่มีฐานะเป็นคนเสมือนไร้ความสามารถ การมอบอำนาจให้ฟ้องคดีจึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ระหว่างพิจารณาของศาลอุทธรณ์ โจทก์ถึงแก่ความตายพลตรีแวว เถกิงพล น้องชายร่วมบิดามารดาเดียวกันกับโจทก์ยื่นคำร้องขอเข้าเป็นคู่ความแทน ศาลอุทธรณ์อนุญาต
ศาลอุทธรณ์พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นพิจารณาคดีนี้ใหม่นับแต่วันที่ความปรากฏแก่ศาลชั้นต้นว่าโจทก์กลับเป็นคนไร้ความสามารถแล้วพิพากษาใหม่ตามรูปคดี
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงฟังได้ในเบื้องต้นว่า เมื่อวันที่ 5 กันยายน 2529 โจทก์ได้ทำบันทึกข้อตกลงกับจำเลยว่าโจทก์ซึ่งเป็นผู้มีสิทธิเก็บกินในที่ดินพิพาทตามโฉนดที่ดินเลขที่ 4686 แขวงบางหว้า เขตภาษีเจริญกรุงเทพมหานคร และเก็บค่าเช่าตึกแถวจำนวน 69 ห้องบนที่ดินดังกล่าว ย่อมให้ผู้เช่าห้องแถวทั้งหมดทำสัญญาเช่ากับจำเลยเป็นเวลา 5 ปี รายละเอียดตามเอกสารหมาย จ.7ต่อมาวันที่ 20 กันยายน 2532 ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้โจทก์เป็นคนไร้ความสามารถ โดยให้นายบุญเอนก ยศธร บุตรชายของโจทก์เป็นผู้อนุบาล ตามคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 4004/2532 ของศาลชั้นต้นต่อมาพันตำรวจโทศุภศักดิ์ ยศธร บุตรบุญธรรมของโจทก์ได้ยื่นฟ้องนายบุญเอนกต่อศาลชั้นต้นขอให้เพิกถอนนายบุญเอนกจากการเป็นผู้อนุบาลของโจทก์และตั้งพันตำรวจโทศุภศักดิ์เป็นผู้อนุบาลแทนศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องเมื่อวันที่ 15 สิงหาคม 2533 ตามสำเนาคำพิพากษาในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 3495/2533 ของศาลชั้นต้นเอกสารหมาย จ.8 พันตำรวจโทศุภศักดิ์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้เพิกถอนนายบุญเอนกจากการเป็นผู้อนุบาลของโจทก์และตั้งพันตำรวจโทศุภศักดิ์เป็นผู้อนุบาลแทน ตามสำเนาคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ลงวันที่ 31 พฤษภาคม 2534 เอกสารหมาย จ.9นายบุญเอนกฎีกา ศาลฎีกาพิพากษากลับให้ยกฟ้องตามสำเนาคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3073/2535 เอกสารหมาย จ.10 หรือ ล.23 ขณะคดีดังกล่าวอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์ โจทก์ได้ยื่นคำร้องขอต่อศาลชั้นต้นเมื่อวันที่ 16 ตุลาคม 2533 ขอให้เพิกถอนคำสั่งที่สั่งให้โจทก์เป็นคนไร้ความสามารถตามสำเนาคำร้องขอเอกสารหมาย จ.11 นายบุญเอนกยื่นคำคัดค้าน ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วมีคำสั่งเมื่อวันที่ 25 กรกฎาคม 2534 ให้เพิกถอนคำสั่งที่สั่งให้โจทก์เป็นคนไร้ความสามารถตามสำเนาคำสั่งศาลชั้นต้นในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 2730/2534 ของศาลชั้นต้น เอกสารหมาย จ.13นายบุญเอนกอุทธรณ์ ขณะที่คดีดังกล่าวอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์ และคดีที่พันตำรวจโทศุภศักดิ์ฟ้องขอให้เพิกถอนนายบุญเอนกจากการเป็นผู้อนุบาลของโจทก์อยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกานั้น พันตำรวจโทศุภศักดิ์ได้ยื่นคำร้องขอต่อศาลชั้นต้นขอให้สั่งให้โจทก์เป็นคนเสมือนไร้ความสามารถโดยไม่มีผู้คัดค้านเป็นอีกคดีหนึ่ง ศาลชั้นต้นไต่สวนแล้วมีคำสั่งเมื่อวันที่ 3 กันยายน 2534 ให้โจทก์เป็นคนเสมือนไร้ความสามารถและให้อยู่ในความพิทักษ์ของพันตำรวจโทศุภศักดิ์ตามสำเนาคำสั่งศาลชั้นต้นในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 3418/2534 เอกสารหมาย จ.1 ต่อมาวันที่ 8 มิถุนายน 2535 โจทก์โดยความยินยอมของพันตำรวจโทศุภศักดิ์ผู้พิทักษ์ได้มอบอำนาจให้พันตำรวจโทพรกุศล ยศธร ฟ้องจำเลยเป็นคดีนี้ ครั้นวันที่ 23 พฤศจิกายน 2535 ศาลชั้นต้นได้อ่านคำพิพากษาศาลฎีกาคดีที่พันตำรวจโทศุภศักดิ์เป็นโจทก์ฟ้องนายบุญเอนกเป็นจำเลยเรื่องขอให้เพิกถอนนายบุญเอนกจากการเป็นผู้อนุบาลของโจทก์โดยศาลฎีกาพิพากษากลับคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ที่ให้เพิกถอนนายบุญเอนกจากการเป็นผู้อนุบาลของโจทก์ เป็นให้ยกฟ้องตามคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3073/2535 เอกสารหมาย จ.10 หรือ ล.23 ดังนั้น นายบุญเอนกจึงยังคงเป็นผู้อนุบาลของโจทก์ตามเดิมและในวันที่ 7 พฤศจิกายน 2537 ศาลชั้นต้นได้อ่านคำพิพากษาศาลฎีกาในคดีที่โจทก์ร้องขอให้เพิกถอนคำสั่งที่สั่งให้โจทก์เป็นคนไร้ความสามารถซึ่งมีนายบุญเอนกเป็นผู้คัดค้านโดยศาลฎีกาพิพากษากลับคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ที่พิพากษายืนตามศาลชั้นต้นให้เพิกถอนคำสั่งที่สั่งให้โจทก์เป็นคนไร้ความสามารถ เป็นให้ยกคำร้องขอของโจทก์ ซึ่งมีความหมายว่าโจทก์ยังคงเป็นคนไร้ความสามารถอยู่ดังเดิมตามคำสั่งศาลชั้นต้นลงวันที่ 20 กันยายน 2532 อันถึงที่สุดแล้วตั้งแต่ปี 2532 ตามสำเนาคำสั่งศาลชั้นต้นในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 4004/2532 และสำเนาใบสำคัญแสดงว่าคดีถึงที่สุด เอกสารหมายล.14 และล.17 คดีมีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่าโจทก์มีอำนาจฟ้องหรือไม่ เห็นว่าศาลชั้นต้นได้มีคำสั่งให้โจทก์เป็นคนไร้ความสามารถและให้อยู่ในความอนุบาลของนายบุญเอนกและคำสั่งดังกล่าวถึงที่สุดแล้วตามเอกสารหมาย ล.14 และ ล.17แม้ภายหลังพันตำรวจโทศุภศักดิ์จะได้ยื่นคำร้องขอต่อศาลชั้นต้นโดยไม่มีผู้คัดค้าน ขอให้ศาลมีคำสั่งให้โจทก์เป็นคนเสมือนไร้ความสามารถและศาลชั้นต้นได้ดำเนินการไต่สวนและมีคำสั่งเมื่อวันที่ 3 กันยายน 2534 ให้โจทก์เป็นคนเสมือนไร้ความสามารถและให้อยู่ในความพิทักษ์ของพันตำรวจโทศุภศักดิ์อีกคดีหนึ่ง ตามเอกสารหมาย จ.1 ก็ตามก็เป็นคนละคดีกัน คำสั่งของศาลชั้นต้นดังกล่าวที่สั่งให้โจทก์เป็นคนเสมือนไร้ความสามารถอยู่ในความพิทักษ์ของพันตำรวจโทศุภศักดิ์จึงไม่อาจเปลี่ยนแปลงยกเลิกเพิกถอนหรือลบล้างคำสั่งศาลชั้นต้นที่ได้มีคำสั่งให้โจทก์เป็นคนไร้ความสามารถ และให้อยู่ในความอนุบาลของนายบุญเอนกตามเอกสารหมาย ล.14 ได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 145 ส่วนคดีที่โจทก์ยื่นคำร้องขอต่อศาลชั้นต้นขอให้เพิกถอนคำสั่งที่สั่งให้โจทก์เป็นคนไร้ความสามารถซึ่งนายบุญเอนกยื่นคำคัดค้าน และในวันที่ 25 กรกฎาคม 2534 ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้เพิกถอนคำสั่งที่สั่งให้โจทก์เป็นคนไร้ความสามารถตามเอกสารหมาย จ.13 แต่นายบุญเอนกยื่นอุทธรณ์และคดีดังกล่าวภายหลังศาลฎีกาได้มีคำพิพากษากลับคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ที่พิพากษายืนตามคำสั่งศาลชั้นต้นให้เพิกถอนคำสั่งที่สั่งให้โจทก์เป็นคนไร้ความสามารถเป็นให้ยกคำร้องขอของโจทก์ ซึ่งหมายความว่าโจทก์ยังคงเป็นคนไร้ความสามารถอยู่ตามเดิม ส่วนในคดีที่พันตำรวจโทศุภศักดิ์บุตรบุญธรรมของโจทก์ยื่นฟ้องนายบุญเอนกขอให้เพิกถอนนายบุญเอนกจากการเป็นผู้อนุบาลของโจทก์ ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องตามเอกสารหมาย จ.8 คดีมีการอุทธรณ์และฎีกา ซึ่งศาลฎีกาได้พิพากษากลับคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ที่ให้เพิกถอนนายบุญเอนกจากการเป็นผู้อนุบาลโจทก์ เป็นให้ยกฟ้อง ซึ่งหมายความว่านายบุญเอนกยังคงเป็นผู้อนุบาลของโจทก์อยู่ตามเดิมเช่นนี้ ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า ในขณะที่โจทก์ทำหนังสือมอบอำนาจให้พันตำรวจโทพรกุศลฟ้องคดีนี้ลงวันที่ 7 มิถุนายน 2535 ตามเอกสารหมาย จ.2 โจทก์ยังเป็นคนไร้ความสามารถและอยู่ในความอนุบาลของนายบุญเอนก การที่โจทก์ฟ้องคดีนี้โดยอ้างว่าโจทก์เป็นคนเสมือนไร้ความสามารถโดยมีพันตำรวจโทศุภศักดิ์เป็นผู้พิทักษ์นั้น เป็นการกระทำโดยโจทก์ไม่มีอำนาจที่จะกระทำได้ต้องให้นายบุญเอนกผู้อนุบาลเป็นผู้กระทำแทนโจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง กรณีหาใช่เป็นเรื่องของการบกพร่องในเรื่องความสามารถของโจทก์ และจำต้องแก้ไขข้อบกพร่องนั้นเสียให้บริบูรณ์ภายในกำหนดเวลาอันสมควรดังที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยไม่เพราะเป็นกรณีที่โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องมาแต่ต้นแล้ว ฎีกาของจำเลยฟังขึ้น”
พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง