แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ขณะที่ร้อยตำรวจตรี พ.ควบคุมตัวส. ผู้ต้องหา ในข้อหาไม่ยืนทำความเคารพเพลงสรรเสริญพระบารมี ซึ่งเป็นความผิดมีโทษตามพระราชบัญญัติวัฒนธรรมแห่งชาติ พุทธศักราช 2485 จะนำขึ้นรถยนต์ไปสถานีตำรวจเพื่อดำเนินคดีจำเลยได้เข้าโอบกอดจับตัวร้อยตำรวจตรีพ.ไว้ และพวกของจำเลยอีกสองคนได้ช่วยกันยื้อแย่งเอาตัว ส. ขึ้นรถยนต์หลบหนีไปถือว่า ส.ถูกคุมขังอยู่ตามอำนาจของเจ้าพนักงานผู้มีอำนาจสืบสวนคดีอาญา ตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 1(12),191 แล้วการกระทำของ จำเลยจึงเป็นความผิดตามมาตรา 138,140,191
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานร่วมกับพวกต่อสู้ขัดขวางเจ้าพนักงานในการปฏิบัติการตามหน้าที่ และช่วยเหลือผู้ที่ถูกคุมขังให้หลุดพ้นจกาการคุมขังไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 138, 140, 191, 80
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 138, 140, 191, 83 ให้ลงโทษตาม มาตรา 191 วรรคท้าย ซึ่งเป็นบทหนัก
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ร้อยตำรวจตรีไพศาลได้ปฏิบัติตามหน้าที่เข้าจับกุมนายสกุลฐานไม่ยืนทำความเคารพเพลงสรรเสริญพระบารมี ซึ่งเป็นความผิดมีโทษตามพระราชบัญญัติวัฒนธรรมแห่งชาติ พุทธศักราช 2485 ขณะที่ร้อยตำรวจตรีไพศาลควบคุมตัวนายสกุลจะนำขึ้นรถยนต์ไปสถานีตำรวจเพื่อดำเนินคดีจำเลยได้เข้าโอบกอดจับตัวร้อยตำรวจตรีไพศาลไว้ และพวกของจำเลยอีกสองคนได้ช่วยกันยื้อแย่งเอาตัวนายสกุลไป โดยคนหนึ่งจับมือร้อยตำรวจตรีไพศาลไว้ให้อีกคนหนึ่งดึงเอาตัวนายสกุลออกจากการจับกุม จากนั้นจำเลยกับพวกพานายสกุลขึ้นรถยนต์หลบหนีไป ขณะนั้นนายสกุลกำลังถูกควบคุมตัวไปสถานีตำรวจ ซึ่งถือว่านายสกุลถูกคุมขังอยู่ตามอำนาจของเจ้าพนักงานผู้มีอำนาจสืบสวนคดีอาญาตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 1(12), 191 ด้วย จำเลยจึงต้องมีความผิดทุกข้อหาตามฟ้อง
พิพากษากลับ ให้บังคับคดีลงโทษจำเลยตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น