แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
แม้ในช่องคู่ความในคำฟ้องระบุชื่อจำเลยที่ 1 ถึงที่ 9เป็นจำเลยโดยมิได้ระบุตำแหน่ง แต่ในคำฟ้องบรรยายว่า จำเลยที่ 1ดำรงตำแหน่งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครและเป็นเจ้าพนักงานท้องถิ่นจำเลยที่ 2 ถึงที่ 9 เป็นกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ตามพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522 เป็นผู้ออกคำสั่งให้โจทก์รื้อถอนอาคารและมีคำวินิจฉัยยกอุทธรณ์โจทก์ตามลำดับ ถือได้ว่าโจทก์ฟ้องจำเลยทั้งเก้าในฐานะผู้ดำรงตำแหน่งดังกล่าว การฟ้องขอให้เพิกถอนคำสั่งให้รื้อถอนอาคารซึ่งออกโดยผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครในฐานะเจ้าพนักงานท้องถิ่น ต้องฟ้องผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครหรือกรุงเทพมหานครโดยตำแหน่งซึ่งมีอำนาจและหน้าที่ตามกฎหมาย เมื่อปรากฏว่าขณะเกิดเหตุจำเลยที่ 1มิได้ดำรงตำแหน่งตามฟ้องแล้ว ส่วนจำเลยที่ 2 ผู้ดำรงตำแหน่งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครคนต่อมา ก็พ้นจากตำแหน่งก่อนโจทก์ยื่นฟ้อง จำเลยที่ 1 และที่ 2 จึงไม่อาจถูกฟ้องได้เพราะมิได้ดำรงตำแหน่งที่มีอำนาจหน้าที่ที่จะปฏิบัติราชการได้ และย่อมมีผลต่อไปถึงจำเลยอื่นด้วย เมื่อโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง คดีย่อมไม่จำเป็นต้องวินิจฉัยประเด็นข้ออื่น คำร้องขอถอนฟ้องจำเลยที่ 1 และคำร้องขอแก้ฟ้องเลื่อนจำเลยที่ 2 มาเป็นจำเลยที่ 1 จึงไม่เป็นสาระแก่คดีหรือทำให้ผลคดีเปลี่ยนแปลงไป ศาลไม่จำเป็นต้องสั่งคำร้องนี้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ที่ 1 และโจทก์ที่ 2 เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์อาคารตึกแถว พร้อมที่ดิน ต่อมาวันที่ 23 สิงหาคม 2528 จำเลยที่ 1ซึ่งดำรงตำแหน่งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร และเป็นเจ้าพนักงานท้องถิ่นตามพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522 ได้มีคำสั่งแจ้งมาว่าโจทก์ได้ต่อเติมอาคาร โดยไม่ได้รับอนุญาตให้โจทก์รื้อถอนอาคาร ส่วนที่ต่อเติมภายใน 30 วัน โจทก์อุทธรณ์ต่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ซึ่งมีจำเลยที่ 2 ถึงที่ 9 เป็นกรรมการ จำเลยที่ 2ถึงที่ 9 ได้วินิจฉัยยกอุทธรณ์ของโจทก์ทั้งสอง จึงขอให้ศาลพิพากษายกเลิกเพิกถอนคำสั่งของจำเลยที่ 1 และคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลยที่ 2 ถึงที่ 9 เสีย จำเลยที่ 1 ถึงที่ 9 ให้การว่า โจทก์ทั้งสองไม่มีอำนาจฟ้อง จำเลยที่ 1 เพราะขณะเกิดเหตุตามฟ้องจำเลยที่ 1 มิได้ดำรงตำแหน่งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครและมิได้เป็นเจ้าพนักงานท้องถิ่นตามพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522และมิได้มีหนังสือสั่งให้โจทก์รื้อถอนอาคารตามฟ้อง ความจริงผู้ดำรงตำแหน่งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครและเป็นเจ้าพนักงานท้องถิ่นตามพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522 ในขณะเกิดเหตุ และผู้ที่มีคำสั่งให้โจทก์ทั้งสองรื้อถอนอาคารตามฟ้องได้แก่จำเลยที่ 2ขอให้ยกฟ้อง หลังจากจำเลยทั้งเก้าให้การแล้ว โจทก์ยื่นคำร้องขอถอนฟ้องจำเลยที่ 1 อ้างว่า เพิ่งทราบจากคำให้การของจำเลยว่าขณะเกิดเหตุจำเลยที่ 1 มิได้ดำรงตำแหน่งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครและมิได้เป็นเจ้าพนักงานท้องถิ่นตามพระราชบัญญัติควบคุมอาคารพ.ศ. 2522 ความจริงเป็นนายอาษา เมฆสวรรค์ ศาลชั้นต้นสอบข้อเท็จจริง คู่ความรับกันว่า นายอาษา เมฆสวรรค์ เป็นผู้ดำรงตำแหน่งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครต่อจากจำเลยที่ 1 และในวันที่โจทก์ยื่นฟ้องคดีนี้นายอาษา เมฆสวรรค์ พ้นตำแหน่งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครไปก่อนแล้ว ศาลชั้นต้นเห็นว่าคดีพอวินิจฉัยได้ให้งดสืบพยานและวินิจฉัยว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องขอให้เพิกถอนคำสั่งให้รื้อถอนอาคารตามฟ้อง ไม่จำต้องวินิจฉัยประเด็นข้ออื่นส่วนที่โจทก์ขอถอนฟ้องจำเลยที่ 1 แล้วเลื่อนจำเลยที่ 2 มาเป็นจำเลยที่ 1 แทนตามลำดับนั้น ไม่เป็นสาระแก่คดีที่จะสั่ง พิพากษายกฟ้อง โจทก์ทั้งสองอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า โจทก์มีความมุ่งหมายที่จะฟ้องพลเรือเอกเทียม มกรานนท์ ในฐานะผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครหาใช่ฟ้องเป็นการส่วนตัวไม่ แม้พลเรือเอกเทียมมกรานนท์ จะพ้นจากตำแหน่งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครไปก่อนโจทก์ยื่นฟ้อง ผู้ที่มาดำรงตำแหน่งแทนก็จะต้องปฏิบัติตามกฎหมายดังกล่าวแล้วสืบไป โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องขอให้เพิกถอนคำสั่งให้รื้อถอนอาคารตามฟ้องได้ ส่วนที่โจทก์ยื่นคำร้องขอถอนฟ้องจำเลยที่ 1และแก้ฟ้องเลื่อนจำเลยที่ 2 มาเป็นจำเลยที่ 1 แทนนั้น ศาลชั้นต้นยังมิได้มีคำสั่งเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาผิดขั้นตอนไม่ชอบด้วยวิธีพิจารณา พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นพิจารณาสั่งคำร้องขอถอนฟ้องและคำร้องขอแก้ฟ้องก่อน แล้วดำเนินการพิจารณาต่อไปแล้วพิพากษาใหม่ตามรูปคดี จำเลยทั้งเก้าฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “โจทก์บรรยายฟ้องว่า เมื่อวันที่ 23สิงหาคม 2528 จำเลยที่ 1 ซึ่งดำรงตำแหน่งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครและเป็นเจ้าพนักงานท้องถิ่นตามพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522ได้แจ้งคำสั่งให้โจทก์รื้ออาคารส่วนที่ต่อเติมขัดข้อบัญญัติให้เสร็จภายใน 30 วัน ศาลฎีกาเห็นว่า แม้ในช่องคู่ความในคำฟ้องระบุชื่อจำเลยที่ 1 ถึงที่ 9 เป็นจำเลยหาได้ระบุตำแหน่งเป็นจำเลยไม่แต่ในคำฟ้องบรรยายว่า จำเลยที่ 1 ดำรงตำแหน่งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครและเป็นเจ้าพนักงานท้องถิ่น จำเลยที่ 2 ถึงที่ 9เป็นกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ตามพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522เป็นผู้ออกคำสั่งให้โจทก์รื้อถอนอาคาร และมีคำวินิจฉัยยกอุทธรณ์โจทก์ตามลำดับ ถือได้ว่า โจทก์ฟ้องจำเลยที่ 1 ในฐานะผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครและเจ้าพนักงานท้องถิ่นตามกฎหมาย และฟ้องจำเลยที่ 2ถึงที่ 9 ในฐานะผู้ดำรงตำแหน่งคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ ดังนั้นเมื่อปรากฏว่าขณะเกิดเหตุพลเรือเอกเทียม มกรานนท์ จำเลยที่ 1มิได้ดำรงตำแหน่งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร นายอาษา เมฆสวรรค์จำเลยที่ 2 ก็ได้ออกไปตั้งแต่ก่อนโจทก์ยื่นฟ้องแล้วเช่นกัน จำเลยที่ 1 และที่ 2 จึงไม่อาจถูกฟ้องเป็นจำเลยได้ เพราะมิได้ดำรงตำแหน่งที่มีอำนาจและหน้าที่ที่จะปฏิบัติราชการได้ กรณีไม่ใช่การฟ้องให้ต้องรับผิดชอบเป็นส่วนตัว หากโจทก์จะฟ้องขอให้เพิกถอนคำสั่งให้รื้อถอนอาคารซึ่งคำสั่งดังกล่าวออกโดยผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ในฐานะเจ้าพนักงานท้องถิ่น ก็ต้องฟ้องผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครหรือกรุงเทพมหานครโดยตำแหน่งซึ่งมีอำนาจและหน้าที่ตามกฎหมาย เมื่อโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยที่ 1 และที่ 2 แล้วย่อมมีผลไปถึงจำเลยอื่นด้วย ไม่จำเป็นต้องวินิจฉัยประเด็นข้ออื่นคำร้องขอถอนฟ้องจำเลยที่ 1 และคำร้องขอแก้ฟ้องเลื่อนจำเลยที่ 2มาเป็นจำเลยที่ 1 แทน มิได้เป็นสาระแก่คดีหรือทำให้ผลแห่งคดีเปลี่ยนแปลงไป จึงไม่จำเป็นต้องสั่ง ฎีกาจำเลยทั้งเก้าฟังขึ้น”
พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น