แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
จำเลยมีอาชีพขับรถรับจ้างได้ร่วมมากับคนร้ายตั้งแต่ตอนกลางวันคนร้ายขับรถของจำเลยไปรับพวกอีกหลายคน แล้วพากันมายังบ้านผู้เสียหายในตอนเย็น คนร้ายสั่งให้จำเลยกลับรถเตรียมรอไว้ เมื่อคนในบ้านผู้เสียหายวิ่งหนีออกไปแจ้งกำนันแล้ว จำเลยจึงขับรถออกมา ดังนี้ ถือได้ว่าจำเลยร่วมกับคนร้ายปล้นทรัพย์ผู้เสียหายโดยแบ่งหน้าที่กันทำ รถยนต์ของกลางใช้เป็นพาหนะมายังบ้านผู้เสียหายและเพื่อจะใช้หลบหนีให้พ้นจากการจับกุมจึงต้องริบ
ย่อยาว
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 340 วรรคสอง, 340 ตรี จำคุก 16 ปี ริบรถยนต์และซองใส่อาวุธปืน2 ซอง ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง ของกลางให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น โจทก์ฎีกา จำเลยฎีกาขอให้คืนรถยนต์แก่จำเลย
ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อกฎหมายว่า “ข้อเท็จจริงได้ความจากการนำสืบของจำเลยเองว่า จำเลยได้ร่วมมากับนายอุดมและนายเล็กคนร้ายตั้งแต่ตอนกลางวันที่อำเภอเมืองนครศรีธรรมราช แล้วพากันมายังอำเภอทุ่งสง นายอุดมขับรถไปรับพวกเพิ่มรวมเป็น 7 คนจากในนิคมที่อำเภอทุ่งสง แล้วจึงพากันมายังบ้านผู้เสียหาย นายอุดมและพวกเข้าไปปล้นทรัพย์ในบ้านผู้เสียหาย โดยนายอุดมสั่งให้จำเลยกลับรถเตรียมรอไว้ แต่จำเลยมิได้รอจนนายอุดมและพวกปล้นทรัพย์เสร็จ กลับขับรถออกมาเสียก่อน และถูกนายพิชิตกำนันและพวกจับไว้ได้ปัญหาวินิจฉัยมีว่า จำเลยได้ร่วมกับนายอุดมและพวกปล้นทรัพย์ผู้เสียหายหรือไม่
จำเลยอ้างว่าจำเลยไม่รู้มาก่อนว่านายอุดมและพวกจะมาปล้นผู้เสียหายข้อแก้ตัวของจำเลยดังกล่าวศาลฎีกาเห็นว่าไม่สมเหตุผล กล่าวคือถ้าหากจำเลยมิได้ร่วมรู้กับนายอุดมและพวกแล้ว เมื่อนายอุดมและพวกลงจากรถเข้าไปในบ้านผู้เสียหาย จำเลยก็มีโอกาสที่จะขับรถหนีไปก่อนที่นายจุ้นเตี๊ยกจะวิ่งหนีออกมาจากบ้านผู้เสียหายด้วยซ้ำไป ระยะทางจากบ้านผู้เสียหายและบ้านนายพิชิตกำนันอยู่ห่างประมาณ 1 กิโลเมตร นายจุ้นเตี๊ยกวิ่งมาถึงบ้านนายพิชิตกำนันและแจ้งความเสร็จ จำเลยก็ขับรถผ่านบ้านนายพิชิตกำนัน แสดงว่าจำเลยยังรีรออยู่นานจึงได้ตัดสินใจขับรถหนีนายอุดมและพวก เมื่อนายพิชิตสอบถามครั้งแรกจำเลยก็รับว่าเมื่อนายอุดมและพวกลงจากรถ นายอุดมก็บอกจะเข้าไปในปล้นให้จำเลยเตรียมรถรอจำเลยก็ปฏิบัติตาม จนกระทั่งเห็นนายจุ้นเตี๊ยกวิ่งออกมาจากบ้านผู้เสียหาย จึงได้ขับรถหนี ในชั้นสอบสวนจำเลยก็ยังคงให้การเช่นเดิมว่าที่ขับรถหนีเพราะเห็นเจ้าของบ้านวิ่งหนีออกไปแจ้งเจ้าหน้าที่ ฉะนั้น แม้จำเลยจะมิได้เข้าไปในบ้านผู้เสียหายกับนายอุดมและพวก ก็ถือได้ว่าจำเลยได้ร่วมกับนายอุดมและพวกปล้นทรัพย์ผู้เสียหาย โดยแบ่งหน้าที่กันทำ ฎีกาโจทก์ฟังขึ้น
ส่วนที่จำเลยฎีกาขอคืนรถยนต์ของกลางนั้น ศาลฎีกาเห็นว่า เมื่อข้อเท็จจริงถือได้ว่าจำเลยร่วมกับนายอุดมและพวกทำการปล้นทรัพย์ผู้เสียหายโดยใช้รถยนต์ของกลางเป็นพาหนะมายังบ้านผู้เสียหาย และเพื่อจะใช้หลบหนีให้พ้นจากการจับกุม ศาลจึงมีอำนาจริบรถยนต์ของกลางได้ ฎีกาจำเลยฟังไม่ขึ้น”
พิพากษากลับ ให้ลงโทษจำเลยตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น