แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
ข้อเท็จจริงยุติตามคำวินิจฉัยของศาลชั้นต้นแล้วว่าโจทก์เป็นผู้ทรงเช็คพิพาทและมิได้รับโอนมาโดยคบคิดกันฉ้อฉลให้จำเลยรับผิดต่อโจทก์ดังนี้ศาลอุทธรณ์จะวินิจฉัยว่า ว. เป็นผู้ทรงเช็คพิพาทหาได้ไม่เพราะเป็นการวินิจฉัยนอกเหนือไปจากคำให้การของจำเลยและเป็นข้อมิได้ยกขึ้นว่ากล่าวกันมาแล้วในศาลชั้นต้นเป็นการไม่ชอบ ปัญหาการฟังข้อเท็จจริงนอกเหนือจากคำให้การและการวินิจฉัยในข้อที่มิได้ว่ากล่าวกันมาแล้วในศาลชั้นต้นเป็นปัญหาเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนแม้คู่ความไม่ฎีกาศาลฎีกาก็หยิบยกขึ้นวินิจฉัยได้
ย่อยาว
โจทก์ ฟ้อง ว่า จำเลย ที่ 1 สั่งจ่าย เช็ค ลงวันที่ 4, 5 และ 7กรกฎาคม 2532 จำนวนเงิน 133,482 บาท 119,380 บาท และ 69,820 บาทตามลำดับ จำเลย ที่ 2 สลักหลัง เช็ค นำ ไป แลก เงินสด จาก โจทก์ เมื่อ เช็คถึง กำหนด โจทก์ นำเข้า บัญชี ของ ผู้มีชื่อ เพื่อ เรียกเก็บเงิน ธนาคารปฏิเสธ การ จ่ายเงิน ทั้ง 3 ฉบับ ขอให้ บังคับ จำเลย ทั้ง สอง ร่วมกันชำระ เงิน 346,620 บาท พร้อม ดอกเบี้ย
จำเลย ที่ 1 ให้การ ว่า โจทก์ ไม่ใช่ ผู้ทรงเช็ค ตาม กฎหมาย จำเลยที่ 2 และ นาย วีรพจน์ สุจริตธรรมกุล กรรมการ คนหนึ่ง ของ โจทก์ หลอกลวง ให้ จำเลย ที่ 1 ออก เช็ค ดังกล่าว เพื่อ จะ ส่ง สินค้า มา ขาย ให้ แต่ไม่ส่ง ตาม ที่ ตกลง ไว้ เมื่อ จำเลย ที่ 1 ติดต่อ ขอรับ เช็ค คืนบุคคล ทั้ง สอง กลับ อ้างว่า จำเลย ที่ 2 นำ เช็ค มา แลก เงินสด จาก โจทก์ซึ่ง ไม่เป็น ความจริง การกระทำ ของ บุคคล ทั้ง สอง และ โจทก์ จึง เป็นการ ร่วมกัน ฉ้อฉล จำเลย ที่ 1 จำเลย ที่ 1 ไม่มี หนี้สิน กับ โจทก์ โจทก์ไม่มี อำนาจฟ้อง ขอให้ ยกฟ้อง
จำเลย ที่ 2 ขาดนัด ยื่นคำให้การ และ ขาดนัดพิจารณา
ศาลชั้นต้น พิจารณา แล้ว พิพากษา ให้ จำเลย ทั้ง สอง ร่วมกัน ใช้ เงินจำนวน 346,620 บาท พร้อม ดอกเบี้ย
จำเลย ที่ 1 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ พิพากษากลับ ให้ยก ฟ้องโจทก์
โจทก์ ฎีกา
ศาลฎีกา วินิจฉัย ว่า “พิเคราะห์ แล้ว ที่ โจทก์ ฎีกา ว่า เช็คพิพาทเป็น เช็ค ผู้ถือ เมื่อ ตก ไป อยู่ กับ โจทก์ โดย ไม่ปรากฏ ว่า มี การ ฉ้อฉลโจทก์ จึง เป็น ผู้ทรง โดยชอบ และ มีอำนาจ ฟ้อง นั้น คดี นี้ ตาม คำให้การของ จำเลย ที่ 1 เป็น เรื่อง ที่ จำเลย ที่ 1 อ้างว่า โจทก์ ซึ่ง เป็น ผู้ทรงเช็คพิพาท รับโอน เช็คพิพาท มา โดย คบคิด กัน ฉ้อฉล กับ จำเลย ที่ 2 และนาย วีรพจน์ แต่ ศาลชั้นต้น วินิจฉัย ว่า ข้อเท็จจริง ฟัง ไม่ได้ ว่า โจทก์ รับโอน เช็คพิพาท มา โดย คบคิด กัน ฉ้อฉล และ พิพากษา ให้ จำเลย ทั้ง สองรับผิด ต่อ โจทก์ จำเลย ที่ 1 มิได้ อุทธรณ์ ว่า โจทก์ รับโอน เช็คพิพาท มาโดย คบคิด กัน ฉ้อฉล ข้อเท็จจริง จึง ยุติ ว่า โจทก์ เป็น ผู้ทรงเช็ค พิพาทและ ฟัง ไม่ได้ ว่า โจทก์ ได้รับ โอน เช็คพิพาท ไว้ โดย คบคิด กัน ฉ้อฉลจำเลย ทั้ง สอง ต้อง รับผิด ต่อ โจทก์ ตาม เนื้อความ ใน เช็คพิพาท ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 900 ที่ ศาลอุทธรณ์ ภาค 3 วินิจฉัยว่า นาย วีรพจน์ รับ แลก เช็คพิพาท จาก จำเลย ที่ 2 เป็น การ ส่วนตัว นาย วีรพจน์ จึง เป็น ผู้ทรงเช็ค พิพาท นั้น จึง เป็น การ ฟัง ข้อเท็จจริง ที่ นอกเหนือ ไป จาก คำให้การ ของ จำเลย ที่ 1 และ เป็น ข้อ ที่ มิได้ ยกขึ้นว่า กัน มา แล้ว ใน ศาลชั้นต้น เป็น การ ไม่ชอบ ปัญหา ข้อ นี้ เป็น ปัญหา เกี่ยวด้วย ความสงบ เรียบร้อย ของ ประชาชน แม้ คู่ความ จะ มิได้ ยกขึ้น ฎีกาศาลฎีกา ก็ มีอำนาจ ยกขึ้น วินิจฉัย ได้ และ เมื่อ ข้อเท็จจริง รับฟัง เป็นยุติ ว่า โจทก์ เป็น ผู้ทรงเช็ค พิพาท และ ฟัง ไม่ได้ ว่า โจทก์ รับโอนเช็คพิพาท มา โดย คบคิด กัน ฉ้อฉล ดังกล่าว แล้ว จำเลย ทั้ง สอง จึง ต้อง รับผิดต่อ โจทก์ ฎีกา ของ โจทก์ ข้อ นี้ ฟังขึ้น กรณี ไม่จำต้อง วินิจฉัย ฎีกาข้อ อื่น ของ โจทก์ อีก ต่อไป ”
พิพากษากลับ ให้ บังคับคดี ตาม คำพิพากษา ศาลชั้นต้น