คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3221/2522

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยที่ 2 ร่วมกับพวกขู่เข็ญผู้เสียหายเรียกเอาเงิน 6,000 บาท โดยอ้างว่ามีผู้ร้องเรียนไปทางกรมตำรวจว่าผู้เสียหายเป็นพระจรจัด จะเอาเงินไปปิดปากผู้ร้องเรียน ผู้เสียหายบอกว่าไม่มีเงิน จำเลยที่ 2 ว่ามีเท่าใดให้เอามาก่อน พร้อมกับทำมือแสดงอาการฮึดฮึดไม่พอใจลักษณะจะทำร้าย ผู้เสียหายกลัว จึงชี้บอกเงิน 2,000 บาท ใส่ซองวางไว้บนโต๊ะให้เอาไปก่อน เช่นนี้ กรณีเป็นความผิดฐานกรรโชกตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 337
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานปล้นทรัพย์ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 340,340 ตรี แต่ข้อเท็จจริงตามทางพิจารณาได้ความว่าจำเลยกระทำผิดฐานกรรโชกซึ่งแตกต่างกับข้อเท็จจริงดังกล่าวในฟ้อง จึงลงโทษจำเลยไม่ได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรคสอง และวรรคสามซึ่งแก้ไขใหม่ก็ไม่ได้ เพราะเป็นการนำเอากฎหมายที่อกใช้ภายหลังมาลงโทษจำเลยซึ่งฟ้องไว้ก่อนแล้ว

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสามปลอมแผ่นป้ายทะเบียนรถยนต์และมีอาวุธปืนเป็นอาวุธได้ร่วมปล้นทรัพย์ของพระภิกษุอรุณ ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๖๔,๒๖๕,๒๖๘,๓๔๐,๓๔๐ ตรี,๓๗๑,๘๓,๙๑ พระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ มาตรา ๗,๗๒ และนับโทษต่อกับคดีดำที่ ๑๐๐๑๗/๒๕๑๗
จำเลยทั้งสามให้การปฏิเสธ แต่รับว่าเป็นคนๆ เดียวกับจำเลยในคดีที่โจทก์กล่าวอ้าง
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยที่ ๑ และที่ ๓ มีความผิดฐานพาอาวุธปืนไปในที่สาธารณะ ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๗๑ ปรับคนละ ๑๐๐ บาท ให้นับโทษต่อ ข้อหาอื่นให้ยก และยกฟ้องสำหรับจำเลยที่ ๒ ทุกข้อหา
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยทั้งสามมีความผิดฐานปล้นทรัพย์ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๔๐ วรรคสอง,๓๔๐ ตรี จำคุกคนละ ๑๘ ปี นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยทั้งสามฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงเชื่อว่าจำเลยที่ ๒ ร่วมกับพวกขู่เข็ญผู้เสียหายเรียกเอาเงิน ๖,๐๐๐ บาท โดยอ้างว่ามีผู้ร้องเรียนไปทางกรมตำรวจว่าผู้เสียหายเป็นพระจรจัด ประพฤติตัวไม่ดี จะเอาเงิน ๖,๐๐๐ บาท ไปปิดปากผู้ฟ้องร้องให้เลิกเรื่อง เมื่อผู้เสียหายบอกว่าไม่มีเงินก็จะเอาเรื่อง และผู้เสียหายบอกว่าเงินยังไม่มีภายใน ๗ วันให้มาเอา จำเลยที่ ๒ ก็ว่ามีเท่าใดให้เอามาส่วนหนึ่งก่อน พร้อมกับทำมือแสดงอาการฮึดฮึดไม่พอใจลักษณะจะทำร้าย ผู้เสียหายกลัวจึงชี้บอกว่ามีเงิน ๒,๐๐๐ บาท ซึ่งมีผู้บริจาคสร้างโบสถ์ใส่ซองวางไว้บนโต๊ะให้เอาไปก่อน จำเลยที่ ๒ ได้หยิบซองใส่เงินนั้นไป ศาลฎีกาเห็นว่าการกระทำของจำเลยที่ ๒ เป็นการข่มขืนใจผู้เสียหายให้เงินแก่จำเลยโดยขู่เข็ญว่าถ้าไม่มีเงินจะเอาเรื่องและแสดงท่าทางลักษณะจะทำร้ายจนผู้เสียหายกลัวต้องยอมให้เงินไป โดยชี้บอกของใส่เงินวางอยู่บนโต๊ะให้จำเลยที่ ๒ หยิบเอาไป กรณีเป็นความผิดฐานกรรโชกตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๓๗ คดีนี้โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานปล้นทรัพย์ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๔๐,๓๔๐ ตรี แต่ข้อเท็จจริงตามทางพิจารณาได้ความว่าจำเลยกระทำผิดฐานกรรโชกซึ่งแตกต่างกับข้อเท็จจริงดังกล่าวในฟ้องจึงลงโทษจำเลยทั้งสามไม่ได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๑๙๒ วรรคสอง และจะลงโทษจำเลยทั้งสามในความผิดฐานกรรโชกตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๑๙๒ วรรคสอง และวรรคสามซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา (ฉบับที่ ๑๐) พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๕ ก็ไม่ได้ เพราะเป็นการนำเอากฎหมายที่ออกใช้ภายหลังมาลงโทษจำเลยซึ่งได้ฟ้องไว้ก่อนแล้ว เทียบตามนัยคำพิพากษาฎีกาที่ ๔๑๐ /๒๔๙๘ ระหว่างอัยการศาลมณฑลทหารบกที่ ๗ โจทก์ พลทหารทุน ไชยะกาล จำเลย
พิพากษาแก้ ให้ยกฟ้องโจทก์ในข้อหาปล้นทรัพย์ นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาอุทธรณ์.

Share