แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
ขณะที่จำเลยเลิกจ้างโจทก์ จำเลยเป็นรัฐวิสาหกิจ อยู่ในบังคับของพระราชบัญญัติพนักงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ พ.ศ. 2534 อันเป็นกฎหมายที่ใช้บังคับอยู่ในขณะที่เกิดสิทธิเรียกร้อง และเนื่องจากพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 มาตรา 4 บัญญัติว่าพระราชบัญญัตินี้มิให้ใช้บังคับแก่รัฐวิสาหกิจตามกฎหมายว่าด้วยแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ ดังนั้น จำเลยซึ่งเป็นรัฐวิสาหกิจจึงไม่อยู่ในบังคับของพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 ที่โจทก์ฟ้องโดยอ้างว่าโจทก์มีสิทธิเรียกร้องตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 จึงเป็นการอ้างบทกฎหมายคลาดเคลื่อนอย่างไรก็ตาม โจทก์ฟ้องเรียกค่าชดเชยกรณีเลิกจ้างจากจำเลย ซึ่งเมื่อปรับบทกฎหมายแล้ว พอถือได้ว่าโจทก์ฟ้องเรียกค่าชดเชยจากจำเลยตามระเบียบคณะกรรมการรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ เรื่องมาตรฐานของสิทธิประโยชน์ของพนักงานรัฐวิสาหกิจ พ.ศ. 2534 ซึ่งออกโดยอาศัยอำนาจตามความในมาตรา 11(1) และมาตรา 11 วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติพนักงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ พ.ศ. 2534
จำเลยจ้างโจทก์โดยทำสัญญาว่าจ้างมีกำหนด 1 ปี ให้เงินตอบแทนรวม 3,600,000 บาท แบ่งจ่ายเป็นรายเดือน เมื่อสิ้นสุดสัญญาแล้วโจทก์และจำเลยได้ตกลงทำสัญญาจ้างทำนองเดียวกันปีต่อปี โดยให้โจทก์ทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษาด้านการตลาดพัฒนาระบบการจัดแผนดำเนินงานของทุกฝ่ายงาน และเป็นที่ปรึกษาของฝ่ายพัฒนาบริการและการตลาด โจทก์มีอำนาจสั่งจ่ายเงินสดและการอนุมัติค่าใช้จ่ายเฉพาะฝ่ายพัฒนาบริการและการตลาดเทียบเท่ารองกรรมการผู้จัดการใหญ่ ทางปฏิบัติโจทก์มาทำงานที่ธนาคารจำเลยทุกวัน ทั้งในการทำงานจำเลยสั่งการถึงโจทก์และโจทก์สั่งการต่อไปยังพนักงานอื่นของจำเลยได้ด้วย โจทก์จึงมีสถานะเป็นพนักงานหรือลูกจ้างของจำเลย แม้ตามสัญญาว่าจ้างกำหนดสถานะไว้ว่าจำเลยเป็นผู้ว่าจ้าง โจทก์เป็นผู้รับจ้างโจทก์ไม่มีสิทธิได้รับสวัสดิการต่าง ๆ ดังเช่นพนักงานหรือลูกจ้างของจำเลยจะได้รับ โจทก์ไม่ต้องมีบัตรพนักงาน โจทก์ไม่เคยถูกประเมินผลงานหรือได้รับการปรับเงินเดือนรายปี ทั้งโจทก์ไม่มีรายชื่อในฝ่ายทรัพยากรบุคคลว่าเป็นพนักงานหรือลูกจ้างของจำเลยด้วยนั้น เป็นกรณีที่จำเลยปฏิบัติต่อโจทก์แตกต่างจากพนักงานอื่น ยังไม่พอที่จะถือว่าโจทก์มิใช่พนักงานหรือลูกจ้างของจำเลย
โจทก์ฟ้องเรียกค่าชดเชย ดอกเบี้ยและเงินเพิ่มจากจำเลยโดยอ้างสิทธิตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 แต่เนื่องจากจำเลยมิได้อยู่ในบังคับของพระราชบัญญัติดังกล่าว โจทก์จึงไม่อาจอ้างสิทธิที่จะได้รับดอกเบี้ยและเงินเพิ่มตามกฎหมายฉบับดังกล่าวได้ ทั้งตามระเบียบคณะกรรมการรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ เรื่องมาตรฐานของสิทธิประโยชน์ของพนักงานรัฐวิสาหกิจ พ.ศ. 2534 ก็มิได้มีข้อใดกำหนดให้รัฐวิสาหกิจต้องจ่ายดอกเบี้ยหรือเงินเพิ่ม กรณีมิได้จ่ายค่าชดเชยให้แก่พนักงานไว้แต่ค่าชดเชยเป็นหนี้เงินโจทก์จึงมีสิทธิเรียกดอกเบี้ยในระหว่างผิดนัดจากจำเลยได้เพียงร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 224 วรรคหนึ่งเท่านั้น
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2538 จำเลยว่าจ้างโจทก์ทำงานในตำแหน่งที่ปรึกษาด้านการตลาด มีหน้าที่จัดทำแผนการดำเนินงานด้านการให้บริการและด้านการตลาดแก่จำเลย ทั้งให้โจทก์เป็นผู้ติดตามประเมินผลการปฏิบัติงานตามแผน ศึกษาสภาพการตลาด คิดค้นและเสนอกลยุทธทางการตลาด วิเคราะห์ วางแผน ให้คำปรึกษาจัดทำแผนการตลาดทุกประเภทตามที่ได้รับมอบหมายจากจำเลย เป็นงานปกติของธุรกิจของจำเลย ได้ทำสัญญาว่าจ้างมีกำหนด 1 ปี ค่าจ้างเดือนละ 300,000 บาท เมื่อครบกำหนดจำเลยได้ว่าจ้างโจทก์ทำงานดังกล่าวต่อเนื่องมาจนถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2541 ได้ทำหนังสือสัญญาจ้างไว้ ครบกำหนดระยะเวลาการจ้าง จำเลยได้เลิกจ้างโจทก์ รวมระยะเวลาที่จำเลยว่าจ้างโจทก์ทำงานต่อเนื่องประมาณ 3 ปี 9 เดือน จำเลยมีหน้าที่ต้องจ่ายค่าชดเชยให้โจทก์ไม่น้อยกว่าค่าจ้างอัตราสุดท้าย 180 วัน เป็นเงิน 1,800,000 บาท แต่จำเลยเพิกเฉยไม่ยอมจ่าย จึงต้องเสียดอกเบี้ยร้อยละ 15 ต่อปี คิดถึงวันฟ้องเป็นเงินดอกเบี้ย 36,246.58 บาท และเงินเพิ่มเนื่องจากจงใจไม่จ่ายชดเชยให้แก่โจทก์ เมื่อพ้นกำหนด 7 วัน นับแต่วันถึงกำหนดจ่าย คือวันที่ 8 มกราคม 2542 ในอัตราร้อยละ 15 ของค่าชดเชย 1,800,000 บาท ทุก 7 วัน คิดถึงวันฟ้อง 42 วัน เป็นเงินเพิ่ม 1,620,000 บาทขอให้บังคับจำเลยจ่ายค่าชดเชย 1,800,000 บาท ดอกเบี้ยคิดถึงวันฟ้อง 36,246.58 บาท และดอกเบี้ยร้อยละ 15 ต่อปี นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ กับให้จำเลยชำระเงินเพิ่มของต้นเงิน 1,800,000 บาท คิดถึงวันฟ้อง 1,620,000บาท และเงินเพิ่มในอัตราร้อยละ 15 ทุกระยะเวลา 7 วัน นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การว่า โจทก์ไม่ใช่ลูกจ้างของจำเลย โจทก์เป็นผู้รับจ้างเป็นที่ปรึกษา มีกำหนดเวลาชัดเจนแน่นอน เป็นงานตามโครงการ โจทก์ไม่มีสิทธิเรียกค่าชดเชย ดอกเบี้ยและเงินเพิ่มจากจำเลย ขอให้ยกฟ้อง
ศาลแรงงานกลางพิพากษาให้จำเลยชำระค่าชดเชยเป็นเงิน 1,800,000 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยร้อยละ 15 ต่อปี นับแต่วันเลิกจ้าง (วันที่ 1 มกราคม 2542) เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ คำขอนอกจากนี้ให้ยก
โจทก์และจำเลยอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่า “คดีนี้ปรากฏข้อเท็จจริงจากอุทธรณ์ของโจทก์และคำเบิกความของพยานจำเลยว่า ในขณะที่จำเลยเลิกจ้างโจทก์นั้น จำเลยเป็นรัฐวิสาหกิจ เมื่อจำเลยเป็นรัฐวิสาหกิจก็ย่อมตกอยู่ในบังคับพระราชบัญญัติพนักงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ พ.ศ. 2534 อันเป็นกฎหมายที่ใช้บังคับอยู่ในขณะที่เกิดสิทธิเรียกร้องในคดีนี้ และเนื่องจากพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 มาตรา 4 บัญญัติว่าพระราชบัญญัตินี้มิให้ใช้บังคับแก่…(2) รัฐวิสาหกิจตามกฎหมายว่าด้วยแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ ดังนั้น จำเลยซึ่งเป็นรัฐวิสาหกิจตามกฎหมายว่าด้วยแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์จึงไม่อยู่ในบังคับของพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 ที่โจทก์ฟ้องโดยอ้างว่าโจทก์มีสิทธิเรียกร้องตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 จึงเป็นการอ้างบทกฎหมายคลาดเคลื่อน อย่างไรก็ตาม โจทก์ฟ้องเรียกค่าชดเชยกรณีเลิกจ้างจากจำเลย ซึ่งเมื่อปรับบทกฎหมายตามข้อหาของโจทก์ดังกล่าวแล้ว พอถือได้ว่าโจทก์ฟ้องเรียกค่าชดเชยจากจำเลยตามระเบียบคณะกรรมการรัฐวิสาหกิจ สัมพันธ์ เรื่อง มาตรฐานของสิทธิประโยชน์ของพนักงานรัฐวิสาหกิจ พ.ศ. 2534 ซึ่งออกโดยอาศัยอำนาจตามความในมาตรา 11(1) และมาตรา 11 วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติพนักงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ พ.ศ. 2534 คดีจึงมีปัญหาตามอุทธรณ์ข้อแรกของจำเลยว่าโจทก์เป็นพนักงาน หรือลูกจ้างของจำเลยตามระเบียบดังกล่าวหรือไม่ ซึ่งระเบียบคณะกรรมการรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ เรื่อง มาตรฐานของสิทธิประโยชน์ของพนักงานรัฐวิสาหกิจ พ.ศ. 2534 ข้อ 3 กำหนดว่า “พนักงาน” หมายความว่า พนักงานตามพระราชบัญญัติพนักงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ พ.ศ. 2534 และคำว่า “พนักงาน” นั้น พระราชบัญญัติพนักงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ พ.ศ. 2534 มาตรา 4 บัญญัติว่า “พนักงาน”หมายความว่า พนักงานและลูกจ้างของรัฐวิสาหกิจแต่ไม่หมายความรวมถึงฝ่ายบริหารในปัญหานี้ศาลแรงงานกลางรับฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยจ้างโจทก์โดยทำสัญญาว่าจ้างมีกำหนด 1 ปี ให้เงินตอบแทนรวม 3,600,000 บาท โดยแบ่งจ่ายเป็นรายเดือน เมื่อสิ้นสุดสัญญาแล้ว โจทก์และจำเลยได้ตกลงทำสัญญาจ้างทำนองเดียวกันปีต่อปี สัญญาฉบับสุดท้ายสิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2541 รวมระยะเวลาการจ้างตามสัญญา 4 ฉบับรวม3 ปี 10 เดือน โดยให้โจทก์ทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษาด้านการตลาด พัฒนาระบบการจัดแผนดำเนินงานของทุกฝ่ายงาน และเป็นที่ปรึกษาของฝ่ายพัฒนาบริการและการตลาด ศึกษาสภาพการตลาด ค้นคิดเสนอกลยุทธทางการตลาด ฝ่ายพัฒนาบริการและการตลาดต้องจัดทำแผนงานในแต่ละปีเสนอต่อโจทก์ หากโจทก์เห็นชอบก็จะนำเสนอคณะกรรมการจัดการของจำเลย หากคณะกรรมการจัดการของจำเลยไม่เห็นชอบกับแผนดังกล่าวและต้องการแก้ไข ก็จะสั่งการผ่านโจทก์ให้ดำเนินการแก้ไข โจทก์จะนำแผนกลับมาสั่งการให้ฝ่ายพัฒนาบริการและการตลาดดำเนินการแก้ไขปรับปรุง หากคณะกรรมการจัดการของจำเลยจะสั่งการให้ฝ่ายพัฒนาบริการและการตลาดดำเนินการอย่างหนึ่งอย่างใดก็จะสั่งการเป็นหนังสือถึงโจทก์ โจทก์จะให้ความเห็นแล้วจึงส่งคำสั่งให้ฝ่ายพัฒนาบริการและการตลาดไปดำเนินการต่อไป โจทก์มีอำนาจสั่งจ่ายเงินสดและการอนุมัติค่าใช้จ่ายเฉพาะฝ่ายพัฒนาบริการและการตลาดเทียบเท่ารองกรรมการผู้จัดการใหญ่ จำเลยไม่มีคำสั่งเป็นหลักฐานว่าโจทก์จะต้องมาทำงานวันเวลาใดหรือทุกวัน แต่ในทางปฏิบัติโจทก์มาทำงานที่ธนาคารจำเลยทุกวัน ตามข้อเท็จจริงดังกล่าวเห็นได้ว่า โจทก์ตกลงทำงานให้แก่จำเลยและจำเลยตกลงจ่ายสินจ้างให้แก่โจทก์ตลอดเวลาที่โจทก์ทำงานให้ ซึ่งงานที่โจทก์ทำนั้นก็เป็นงานตามปกติในธุรกิจการธนาคารของจำเลย ทั้งในการทำงานจำเลยสั่งการถึงโจทก์และโจทก์สั่งการต่อไปยังพนักงานอื่นของจำเลยได้ด้วย โจทก์จึงมีสถานะเป็นพนักงานหรือลูกจ้างของจำเลย ที่จำเลยอ้างว่าตามสัญญาว่าจ้างกำหนดสถานะไว้ว่าจำเลยเป็นผู้ว่าจ้าง โจทก์เป็นผู้รับจ้าง โจทก์ไม่มีสิทธิได้รับสวัสดิการต่าง ๆ ดังเช่นพนักงานหรือลูกจ้างของจำเลยจะได้รับ โจทก์ไม่ต้องมีบัตรพนักงาน โจทก์ไม่เคยถูกประเมินผลงานหรือได้รับการปรับเงินเดือนรายปีแต่อย่างใด ทั้งโจทก์ไม่มีรายชื่อในฝ่ายทรัพยากรบุคคลว่าเป็นพนักงานหรือลูกจ้างของจำเลยด้วยนั้น เป็นกรณีที่จำเลยปฏิบัติต่อโจทก์แตกต่างจากพนักงานอื่นอันเกิดจากความเห็นของจำเลยเท่านั้น ซึ่งการปฏิบัติที่แตกต่างดังกล่าว ยังไม่พอที่จะถือว่าโจทก์มิใช่พนักงานหรือลูกจ้างของจำเลยตามกฎหมาย อุทธรณ์ข้อนี้ของจำเลยฟังไม่ขึ้น
คดีมีปัญหาตามอุทธรณ์ของจำเลยข้อต่อไปว่า จำเลยต้องชำระดอกเบี้ยในค่าชดเชยอัตราร้อยละ 15 ต่อปีหรือไม่ และมีปัญหาตามอุทธรณ์ของโจทก์ว่า จำเลยต้องจ่ายเงินเพิ่มให้แก่โจทก์หรือไม่ ซึ่งสมควรวินิจฉัยรวมกันไป เห็นว่า โจทก์ฟ้องเรียกค่าชดเชยดอกเบี้ย และเงินเพิ่มจากจำเลยโดยอ้างสิทธิตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงานพ.ศ. 2541 แต่เนื่องจากจำเลยมิได้อยู่ในบังคับของพระราชบัญญัติดังกล่าว โจทก์จึงไม่อาจอ้างสิทธิที่จะได้รับดอกเบี้ยและเงินเพิ่มตามกฎหมายฉบับดังกล่าวได้ ทั้งตามระเบียบคณะกรรมการรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ เรื่อง มาตรฐานของสิทธิประโยชน์ของพนักงานรัฐวิสาหกิจ พ.ศ. 2534 ก็มิได้มีข้อใดกำหนดให้รัฐวิสาหกิจต้องจ่ายดอกเบี้ยหรือเงินเพิ่มกรณีมิได้จ่ายค่าชดเชยให้แก่พนักงานไว้ แต่ค่าชดเชยเป็นหนี้เงิน โจทก์จึงมีสิทธิเรียกดอกเบี้ยในระหว่างผิดนัดจากจำเลยได้เพียงร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 224 วรรคหนึ่ง เท่านั้น อุทธรณ์ของจำเลยฟังขึ้นบางส่วน ส่วนอุทธรณ์ของโจทก์ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษาแก้เป็นว่าให้จำเลยชำระดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี แก่โจทก์ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลแรงงานกลาง