แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 218 ลงวันที่ 29 กันยายน2515 เป็นกฎหมายว่าด้วยการจัดระเบียบบริหารราชการและกำหนดอำนาจหน้าที่ของผู้ว่าราชการจังหวัดในการบริหารราชการส่วนจังหวัดหาได้ให้อำนาจแก่ผู้ว่าราชการจังหวัดที่จะเป็นผู้ดำเนินการแทนหน่วยราชการในส่วนกลางที่เป็นผู้เสียหายไม่ดังนั้นเมื่อมีผู้ทุจริตยักยอกเงินค่าไฟฟ้า ค่าเช่าบ้านค่าภาคหลวงและเงินมัดจำเพื่อตรวจวัดตีตราค่าภาคหลวงของสำนักงานป่าไม้จังหวัดลำพูน เงินค่าไฟฟ้า ค่าเช่าบ้านและค่าภาคหลวงเป็นเงินในงบประมาณของกรมป่าไม้ส่วนเงินวางมัดจำแม้จะเป็นเงินนอกงบประมาณ แต่ก็เป็นเงินที่อยู่ในความรับผิดชอบของหน่วยงานในสังกัดของกรมป่าไม้ กรมป่าไม้จึงเป็นผู้เสียหายที่จะฟ้องเรียกเงินคืนจังหวัดลำพูนโดยผู้ว่าราชการจังหวัดไม่ใช่ผู้เสียหาย จึงไม่มีอำนาจฟ้อง
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นนิติบุคคลตามกฎหมายโดยเป็นจังหวัดตามประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 218 ลงวันที่ 29 กันยายน 2515 ว่าด้วยระเบียบการบริหารส่วนภูมิภาคมีอำนาจและหน้าที่บังคับบัญชาควบคุมดูแลการปฏิบัติราชการของข้าราชการ ซึ่งประจำอยู่ในสำนักงานป่าไม้จังหวัดลำพูน ตลอดจนเกี่ยวกับเรื่องเงินของสำนักงานป่าไม้จังหวัดลำพูนให้เป็นไปตามระเบียบแบบแผนของกรมป่าไม้ และโจทก์เป็นผู้บังคับบัญชาจำเลยซึ่งรับราชการในตำแหน่งผู้ช่วยป่าไม้จังหวัดลำพูน ได้รับคำสั่งแต่งตั้งจากป่าไม้จังหวัดลำพูนให้ทำหน้าที่หัวหน้าหมวดอนุญาตรวมทั้งการสงวนและบำรุงป่า เป็นผู้ช่วยป่าไม้จังหวัดตลอดจนรักษาการแทนป่าไม้จังหวัด ในกรณีที่ป่าไม้จังหวัดไม่อยู่หรือไม่อาจปฏิบัติราชการได้และเป็นกรรมการรักษาเงินประจำสำนักงานป่าไม้จังหวัดลำพูน โจทก์ได้รับรายงานว่า นายจรัล สาระกูล พนักงานป่าไม้ 2 ซึ่งทำหน้าที่สมุห์บัญชีได้ทุจริตยักยอกเอาเงินของสำนักงานป่าไม้จังหวัดลำพูนแล้วหลบหนีไป โจทก์จึงตั้งคณะกรรมการขึ้นทำการสอบสวนข้อเท็จจริงและหาตัวผู้รับผิดชอบทางแพ่ง ผลการสอบสวนคณะกรรมการมีความเห็นว่า จำเลยมีส่วนเกี่ยวข้องและจะต้องร่วมรับผิดชอบกับนายบุญเกิด กาวีต๊ะ ป่าไม้จังหวัดลำพูน รวม 4 รายการ เป็นเงิน 59,571.33 บาท คือ เงินค่าน้ำประปาและไฟฟ้า จำเลยจะต้องรับผิด 83.48 บาท เงินค่าเช่าบ้านจำเลยต้องรับผิด 1,144 บาท เงินค่าภาคหลวงจำเลยต้องรับผิดจำนวน 9,052.40 บาท และเงินมัดจำเพื่อตรวจวัดตีตราค่าภาคหลวงไม้สักจำเลยต้องรับผิดจำนวน 49,191.45 บาท รวมเป็นเงิน 59,471.33 บาท โจทก์แจ้งให้จำเลยชดใช้เงินดังกล่าวแก่สำนักงานป่าไม้จังหวัดลำพูน แต่จำเลยไม่ยอมชดใช้
จำเลยให้การว่าจำเลยไม่ต้องรับผิดตามฟ้องโจทก์ และตัดฟ้องว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง ฟ้องโจทก์ขาดอายุความ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยใช้เงิน 59,471.33 บาทแก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีจากต้นเงินดังกล่าว นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์เห็นว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง พิพากษากลับให้ยกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลให้เป็นพับ
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ได้ความว่านายจรัล สาระกุล พนักงานป่าไม้ 2 ทำหน้าที่สมุหบัญชีของสำนักงานป่าไม้จังหวัดลำพูนทุจริตยักยอกเงินของสำนักงานป่าไม้จังหวัดลำพูนไปรวม 14 รายการเป็นเงิน 454,000.43 บาท คณะกรรมการที่ตั้งขึ้นเพื่อสอบสวนข้อเท็จจริงและหาตัวผู้รับผิดชอบในทางแพ่งเห็นว่า จำเลยจะต้องรับผิดชอบร่วมกับนายบุญเกิด กาวีต๊ะ ป่าไม้จังหวัดลำพูน รวม 4 รายการ เฉพาะส่วนของจำเลยคือ เงินค่าไฟฟ้าจำนวน 83.48 บาท เงินค่าเช่าบ้านจำนวน 1,144 บาท เงินค่าภาคหลวงจำนวน 9,052.40 บาท และเงินมัดจำเพื่อตรวจตีตราค่าภาคหลวงจำนวน 49,191.45 บาท รวมเป็นเงินที่จำเลยจะต้องรับผิดชอบ 59,471.33 บาท แต่จำเลยปฏิเสธไม่ยอมรับผิดชอบ แทนที่กรมป่าไม้ซึ่งสำนักงานป่าไม้จังหวัดลำพูนเป็นหน่วยงานในสังกัดจะเป็นผู้ฟ้อง จังหวัดลำพูนโดยม.ล.ภัคสุก กำภู ผู้ว่าราชการจังหวัดลำพูนกลับเป็นโจทก์ฟ้อง ปัญหาจึงมีในเบื้องต้นว่าโจทก์มีอำนาจฟ้องหรือไม่ เห็นว่าเงินค่าไฟฟ้า เงินค่าเช่าบ้านและเงินค่าภาคหลวงเป็นเงินในงบประมาณของกรมป่าไม้ ส่วนเงินวางมัดจำแม้จะเป็นเงินนอกงบประมาณแต่ก็เป็นเงินที่อยู่ในความรับผิดชอบของหน่วยงานในสังกัดของกรมป่าไม้ เมื่อมีผู้กระทำละเมิดทุจริตยักยอกเงินดังกล่าวไป กรมป่าไม้ย่อมเป็นผู้เสียหาย หาใช่จังหวัดลำพูนไม่ที่โจทก์ฎีกาอ้างว่าจังหวัดลำพูนมีอำนาจฟ้องโดยอาศัยประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 218 ข้อ 50, 53 นั้น เห็นว่าประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 218 เป็นกฎหมายว่าด้วยการจัดระเบียบบริหารราชการและกำหนดอำนาจหน้าที่ของผู้ว่าราชการจังหวัดในการบริหารราชการส่วนจังหวัดเท่านั้น หาได้ให้อำนาจแก่ผู้ว่าราชการจังหวัดที่จะเป็นผู้ดำเนินการแทนหน่วยราชการในส่วนกลางที่เป็นผู้เสียหายไม่ ดังนั้นโจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง ประเด็นข้ออื่นไม่จำต้องวินิจฉัย ฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นฎีกาให้เป็นพับ