คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3201/2545

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องเรียกที่ดินพิพาทอันเป็นทรัพย์มรดกของ ผ. ภายหลังจาก ผ. ถึงแก่ความตายเป็นเวลาถึง 37 ปีเศษ จึงพ้นกำหนดหนึ่งปีนับแต่เจ้ามรดกตายหรือนับแต่เมื่อทายาทโดยธรรมได้รู้หรือควรได้รู้ถึงความตายของเจ้ามรดก ซึ่งต้องห้ามไม่ให้ฟ้องคดีมรดกตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1754 แต่หากโจทก์ซึ่งเป็นทายาทได้ครอบครองทรัพย์มรดกที่ยังมิได้แบ่งกัน ก็ย่อมมีสิทธิที่จะเรียกร้องให้แบ่งทรัพย์มรดกนั้นได้ แม้ว่าจะล่วงพ้นกำหนดอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1748 โจทก์จึงต้องนำสืบให้ได้ความโดยแน่ชัดว่า ที่ดินพิพาทเป็นทรัพย์มรดกที่ยังมิได้แบ่งกันและทายาทอื่นได้ครอบครองที่ดินพิพาทแทนโจทก์
ทรัพย์มรดกของ ผ. ได้แบ่งปันให้แก่ ร. บ. และ ส. ทายาทของ ผ. และบุคคลทั้งสามเข้าครอบครองที่ดินพิพาทเป็นส่วนสัดอันเป็นการแบ่งปันทรัพย์มรดกตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1750 วรรคแรก ตั้งแต่ 37 ปีเศษมาแล้วจึงถือว่าการแบ่งปันมรดกเสร็จสิ้นแล้วตั้งแต่ 37 ปีเศษดังกล่าว และนับแต่นั้นมาย่อมถือว่าบุคคลทั้งสามครอบครองที่ดินพิพาทเพื่อตนไม่ใช่ครอบครองแทนโจทก์ โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องเอาส่วนแบ่งมรดกอีก

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องโดยได้รับอนุญาตให้ดำเนินคดีอย่างคนอนาถาขอให้บังคับจำเลยที่ 1 ถึงที่ 9 จดทะเบียนใส่ชื่อโจทก์ในที่ดินโฉนดเลขที่ 6147 ตำบลบางแม่นาง อำเภอบางใหญ่ (บางบัวทอง) จังหวัดนนทบุรี และแบ่งแยกกรรมสิทธิ์ในที่ดินให้โจทก์เนื้อที่ 6 ไร่ 64 ตารางวา หากไม่ปฏิบัติให้ถือเอาตามคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลยที่ 1 ถึงที่ 9 หรือชดใช้เงิน 18,480,000 บาท กับให้จำเลยทั้งสิบร่วมกันหรือแทนกันชำระเงิน 4,887,625 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องไปจนกว่าชำระเสร็จแก่โจทก์

จำเลยที่ 1 ถึงที่ 9 ให้การ ขอให้ยกฟ้อง

จำเลยที่ 10 ให้การ ขอให้ยกฟ้อง

ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ถึงที่ 9 ชำระเงิน 2,148,392.49 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์กับให้จำเลยที่ 1 ถึงที่ 9 ไปจดทะเบียนแบ่งแยกที่ดินโฉนดเลขที่ 6147 ตำบลบางแม่นาง อำเภอบางแม่นาง (ที่ถูกอำเภอบางใหญ่) (บางบัวทอง) จังหวัดนนทบุรี ให้โจทก์เนื้อที่ 2 ไร่2 งาน 61 1/2 ตารางวา หากจำเลยที่ 1 ถึงที่ 9 ไม่ไปให้ถือเอาตามคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนา ให้ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 10 คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก

จำเลยที่ 1 ถึงที่ 9 อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 1 ถึงที่ 9 ด้วยนอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

โจทก์ฎีกาโดยได้รับอนุญาตให้ดำเนินคดีอย่างคนอนาถา

ระหว่างพิจารณา จำเลยที่ 1 ถึงแก่กรรม นายเจริญ ชมแผน ทายาทของจำเลยที่ 1ขอเข้าเป็นคู่ความแทน ศาลฎีกาอนุญาต

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีสำหรับจำเลยที่ 10 เป็นอันยุติตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นคงขึ้นมาสู่ศาลฎีกาเฉพาะจำเลยที่ 1 ถึงที่ 9 ข้อเท็จจริงเบื้องต้นรับฟังได้ว่า จำเลยที่ 1เป็นภรรยาของนายเรือง ชมแผน มีบุตร 8 คน คือ จำเลยที่ 2 ถึงที่ 9 ที่ดินพิพาทเป็นของนางผิว สุขสมหรือศุขสม เจ้ามรดก ซึ่งสมรสกับนายไกรแต่ไม่มีบุตรด้วยกัน นายไกรถึงแก่ความตายก่อนเจ้ามรดก นางผิวเจ้ามรดกถึงแก่ความตายเมื่อวันที่ 7 พฤศจิกายน2499 ขณะเจ้ามรดกถึงแก่ความตาย บิดามารดาและพี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกับเจ้ามรดกถึงแก่ความตายหมดทุกคนแล้ว คงเหลือแต่บุตรของพี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกับเจ้ามรดกรวม 4 คน ได้แก่โจทก์และนางฉิมซึ่งเป็นพี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกันพร้อมทั้งนายเรืองและนายเสน นอกจากนี้ยังมีนางใบซึ่งเป็นบุตรของนางเชื่อมพี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกับเจ้ามรดก หลังจากนางผิวเจ้ามรดกถึงแก่ความตาย จำเลยที่ 1ถึงที่ 9 ให้การรับว่า โจทก์ จำเลยที่ 1 นายเรือง นางใบ และนายเสนเข้าครอบครองทำนาที่ดินมรดกจนถึงปี 2504 โจทก์ได้ออกจากที่ดินมรดกที่ครอบครอง ครั้นวันที่ 7 ธันวาคม2504 ได้มีการจดทะเบียนโอนที่ดินพิพาทอันเป็นมรดกให้นายเรือง นางใบ และนายเสนในวันเดียวกันได้มีการจดทะเบียนกรรมสิทธิ์รวมเฉพาะส่วน ให้นายเชื้อ ชื่นแขก นายเรืองนางใบและนายเสน โดยนายเชื้อถือกรรมสิทธิ์รวมเฉพาะส่วนของนายเรือง จำนวน6/16 ส่วน และส่วนของนางใบ จำนวน 1/2 ส่วน วันที่ 9 กรกฎาคม 2506 นางใบขายส่วนของตนให้นายบุญมา รุ่งสว่าง วันที่ 25 พฤศจิกายน 2506 นายบุญมาขายส่วนของตนให้นางผูก ดีสวัสดิ์ วันที่ 31 มีนาคม 2509 นายเชื้อขายส่วนของตนให้นายเรืองและวันที่ 21 พฤษภาคม 2518 นางผูกขายส่วนของตนให้นายเรือง ที่ดินพิพาทจึงมีเจ้าของกรรมสิทธิ์เพียง 2 คน คือ นายเรืองและนายเสน ต่อมานายเสนถึงแก่ความตายนายสุรินทร์ ชมแผน ทายาทของนายเสนจึงเข้ารับมรดกเฉพาะส่วนของนายเสนและนายสุรินทร์ได้ขายเฉพาะส่วนของตนให้แก่จำเลยที่ 9 นายเรืองและจำเลยที่ 9 จึงมีกรรมสิทธิ์ในที่ดินร่วมกันจนกระทั่งนายเรืองถึงแก่ความตาย ต่อมาวันที่ 19 กุมภาพันธ์2534 จำเลยที่ 1 ถึงที่ 9 ตกลงรับโอนมรดกในที่ดินพิพาท โดยให้จำเลยที่ 1 ถึงที่ 8 รับมรดกเฉพาะส่วนของนายเรือง และให้จำเลยที่ 9 คงมีกรรมสิทธิ์ในส่วนของตนเช่นเดิมครั้นปี 2536 จำเลยที่ 10 เวนคืนที่ดินพิพาทบางส่วน จำเลยที่ 1 ถึงที่ 9 ได้รับค่าทดแทนรวมทั้งสิ้น 14,700,500 บาท คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาโจทก์ว่า โจทก์ในฐานะทายาทของนางผิวเจ้ามรดกมีสิทธิให้จำเลยที่ 1 ถึงที่ 9 จดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์เฉพาะส่วนของตนในที่ดินพิพาทและชดใช้เงินค่าทดแทนในส่วนของตนให้แก่โจทก์หรือไม่เห็นว่า คดีนี้โจทก์ฟ้องเรียกที่ดินพิพาทอันเป็นทรัพย์มรดกของนางผิวเจ้ามรดกภายหลังจากเจ้ามรดกถึงแก่ความตายเป็นเวลาถึง 37 ปีเศษ จึงพ้นกำหนดหนึ่งปีนับแต่เจ้ามรดกตาย หรือนับแต่เมื่อทายาทโดยธรรมได้รู้หรือควรได้รู้ถึงความตายของเจ้ามรดกซึ่งต้องห้ามมิให้ฟ้องคดีมรดกตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1754 แต่หากโจทก์ซึ่งเป็นทายาทได้ครอบครองทรัพย์มรดกที่ยังมิได้แบ่งกัน ก็ย่อมมีสิทธิที่จะเรียกร้องให้แบ่งทรัพย์มรดกนั้นได้ แม้ว่าจะล่วงพ้นกำหนดอายุความตามมาตรา 1748 แห่งประมวลกฎหมายดังกล่าวแล้ว ดังนั้น โจทก์จึงต้องนำสืบให้ได้ความโดยแน่ชัดว่า ที่ดินพิพาทเป็นทรัพย์มรดกที่ยังมิได้แบ่งกันและทายาทอื่นได้ครอบครองที่ดินพิพาทแทนโจทก์ปรากฏว่าในปี 2504 อันเป็นปีที่มีการโอนที่ดินพิพาทนั้นเอง มีทายาทแสดงตนเข้ารับมรดกเพียง 3 คน โดยระบุชื่อไว้อย่างชัดเจนในสารบาญแก้ทะเบียนท้ายสำเนาโฉนดที่ดินได้แก่นายเรือง นางใบและนายเสน โดยไม่ปรากฏว่ามีชื่อของโจทก์หรือแม้แต่นางฉิมที่เป็นพี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกับโจทก์ และเมื่อมีการจดทะเบียนกรรมสิทธิ์รวมเฉพาะส่วนในวันเดียวกัน เอกสารดังกล่าวก็ระบุชื่อนายเชื้อ ชื่นแขก ซึ่งไม่ปรากฏว่าเป็นญาติฝ่ายใดของเจ้ามรดกเข้าถือกรรมสิทธิ์รวมเฉพาะส่วนของนายเรือง จำนวน 6/16 ส่วนแทนที่จะมีชื่อโจทก์และนางฉิมซึ่งเป็นทายาทที่เหลืออยู่ นอกจากนี้ที่ดินดังกล่าวได้มีการโอนขายให้แก่บุคคลภายนอกและทายาทได้ซื้อกลับเข้ามาเป็นของตนรวมทั้งมีการจดทะเบียนจำนองหลายครั้ง จนในที่สุดได้กลับคืนมาเป็นของนายเรืองและจำเลยที่ 9ซึ่งเป็นบุตรของนายเรืองโดยโจทก์หาได้มีส่วนเกี่ยวข้องหรือโต้แย้งคัดค้านอย่างหนึ่งอย่างใดไม่ ที่โจทก์อ้างว่าเป็นการใช้วิธีปกปิดไม่แจ้งให้โจทก์ทราบนั้นก็ยากที่จะรับฟังเพราะเป็นการโอนระหว่างญาติพี่น้องและจดทะเบียนอย่างเปิดเผยซึ่งโจทก์ควรจะรู้ได้หากเข้าใจว่าตนมีกรรมสิทธิ์และสนใจติดตามเอาคืน พยานหลักฐานจำเลยที่ 1 ถึงที่ 9มีน้ำหนักดีกว่าพยานหลักฐานโจทก์ ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าทรัพย์มรดกที่ดินของนางผิวเจ้ามรดกได้แบ่งปันให้แก่นายเรือง นางใบและนายเสนทายาทของนางผิวเจ้ามรดก และบุคคลทั้งสามดังกล่าวเข้าครอบครองที่ดินพิพาทเป็นส่วนสัด อันเป็นการแบ่งปันทรัพย์มรดกตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1750 วรรคแรก จึงถือว่าการแบ่งปันมรดกเสร็จสิ้นแล้ว ตั้งแต่วันที่ 7 ธันวาคม 2504 และนับแต่นั้นมาย่อมถือว่านายเรือง นายเสน และนางใบครอบครองที่ดินพิพาทเพื่อตนมิใช่ครอบครองแทนโจทก์ ดังนั้น โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องเอาส่วนแบ่งมรดกอีกไม่จำเป็นต้องวินิจฉัยฎีกาข้ออื่นของโจทก์อีกต่อไป คำพิพากษาศาลฎีกาที่โจทก์กล่าวอ้างมานั้น ข้อเท็จจริงไม่ตรงกับคดีนี้ ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 1 ถึงที่ 9 นั้น ศาลฎีกาเห็นด้วยในผล ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น”

พิพากษายืน

Share