แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ผู้ตายเรียนหนังสืออยู่ที่วัดละหารซึ่งจำเลยเป็นครูอยู่ ทั้งเป็นเด็กหญิงและเป็นหลานของจำเลย มีบ้านอยู่ติดกับบ้านของจำเลย เมื่อจำเลยขึงลวดเส้ยเดียวและเล็กไว้ในบริเวณบ้านและปล่อยกระแสไฟฟ้าให้แล่นไปตามลวดนั้น เมื่อเวลาจวนสว่างผู้ตายเข้าไปในเขตรั้วบ้านจำเลย และมาถูกสายไฟฟ้าของจำเลยเข้าถึงแก่ความตาย ดังนี้ จึงถือไม่ได้ว่าการกระทำของจำเลยดังกล่าวเป็นการป้องกันสิทธิของตนโดยชอบด้วยกฎหมาย จำเลยจึงมีความผิดฐานทำให้คนตายโดยไม่มีเจตนา
ย่อยาว
คดีนี้ โจทก์ฟ้องและแก้ฟ้องว่าจำเลยมีเจตนาจะทำร้ายผู้อื่นให้ได้รับบาดเจ็บถึงตาย ได้ขึงลวดไว้รอบ ๆ บ้าน แล้วปล่อยกระแสไฟฟ้าซึ่งมีกำลังดัน ๒๒๐ โวลท์ ต่อมาเด็กหญิงพยุงได้ไปกระทบถูกลวดแล้วกระแสไฟฟ้าได้แล่นเข้าสู่ร่างกาย เป็นเหตุให้เด็กหญิงพยุงได้ถึงแก่ความตาย ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๘๘ และริบของกลาง
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าการกระทำของจำเลยเป็นความผิดฐานทำให้คนตายโดยไม่เจตนา พิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๙๐ คงจำคุกจำเลยไว้ ๔ ปี ของกลางริบ
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นรับฎีกาเฉพาะปัญหาข้อกฎหมายที่ว่าการกระทำของจำเลยเป็นการป้องกันหรือไม่
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ต้องฟังข้อเท็จจริงตามที่ศาลอุทธรณ์ได้วินิจฉัยมาแล้วจากพยานหลักฐานในสำนวนและในกรณีเช่นคดีนี้ ศาลจะต้องพิจารณาเสมือนว่า ถ้าจำเลยอยู่ในที่เกิดเหตุในขณะเกิดเหตุจำเลยจะมีสิทธิกระทำร้ายเพื่อป้องกันสิทธิของตนหรือไม่ ในคดีนี้ผู้ตายเรียนหนังสืออยู่ที่วัดละหารซึ่งจำเลยเป็นครูอยู่ ผู้ตายเป็นเด็กหญิงและเป็นหลานของจำเลย และมีบ้านอยู่ติดกับบ้านของจำเลย เวลาจวนสว่างผู้ตายได้เข้าไปในเขตรั้วของจำเลย จำเลยย่อมไม่มีสิทธิทำร้ายผู้ตาย เมื่อจำเลยขึงลวดไว้ในบริเวณบ้านจำเลย และปล่อยกระแสไฟฟ้าให้แล่นไปตามลวดนั้น และผู้ตายมาถูกสายไฟฟ้าของจำเลยเข้าถึงแก่ความตาย จึงถือไม่ได้ว่าการกระทำของจำเลยดังกล่าวเป็นการป้องกันสิทธิของตนโดยชอบด้วยกฎหมาย
พิพากษายืน