คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3184/2536

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ศาลพิพากษาตามยอมให้จำเลยชำระเงินตามสัญญากู้ยืมเงินพร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์ จำเลยผิดนัดชำระหนี้ โจทก์ขอให้บังคับคดีจำเลยยื่นคำร้องขอให้งดการบังคับคดีอ้างว่าจำเลยได้ฟ้องโจทก์เป็นคดีอาญาข้อหาปลอมสัญญากู้ยืมเงิน เนื่องจากโจทก์นำสัญญากู้ยืมเงินปลอมมาฟ้องจำเลยแล้วสมคบกับทนายจำเลยทำสัญญาประนีประนอมยอมความลับหลังจำเลยจนศาลพิพากษาตามยอม ดังนี้ เป็นเรื่องที่จำเลยฟ้องโจทก์เป็นคดีอาญาเพื่อให้ตนหลุดพ้นจากความรับผิดในคดีนี้ซึ่งศาลได้พิพากษาตามยอมไปแล้ว หามีหนี้ที่จะหักกลบลบกันไม่ทั้งเป็นการฟ้องคดีในมูลกรณีเดียวกันกับคดีนี้ หาใช่ฟ้องเป็นคดีอื่นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 293 อันจะเป็นเหตุให้ศาลงดการบังคับคดีเพื่อหักกลบลบหนี้กันไม่ จำนวนเงินค่าทนายความที่ศาลกำหนดให้จำเลยใช้แทนโจทก์เป็นส่วนหนึ่งของค่าฤชาธรรมเนียม ในเรื่องความรับผิดเกี่ยวกับค่าฤชาธรรมเนียมนี้ ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 161บัญญัติให้ความรับผิดชั้นที่สุดสำหรับค่าฤชาธรรมเนียมของคู่ความในคดีตกอยู่แก่คู่ความฝ่ายที่แพ้คดี และเป็นดุลพินิจของศาลที่จะกำหนดให้โดยคำนึงถึงเหตุสมควรและความสุจริตในการสู้ความหรือการดำเนินคดีของคู่ความทั้งปวง คดีนี้ศาลอุทธรณ์ได้กำหนดค่าทนายความอยู่ระหว่างอัตราขั้นต่ำและขั้นสูงดังที่ระบุไว้ในตาราง 6 ท้ายประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง โดยคำนึงถึงเหตุผลตามบทบัญญัติข้างต้นจึงเป็นการใช้ดุลพินิจที่เหมาะสมแล้ว

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากโจทก์ฟ้องให้จำเลยทั้งสองชำระเงินตามสัญญากู้ยืมเงินและค้ำประกัน ระหว่างพิจารณาศาลชั้นต้นอนุญาตให้โจทก์ถอนฟ้องจำเลยที่ 2 แล้วพิพากษาตามยอมให้จำเลยที่ 1ชำระเงิน 70,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์โดยผ่อนชำระเป็นรายเดือน จำเลยที่ 1 ผิดนัดชำระหนี้ โจทก์จึงขอให้บังคับคดีแล้วนำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดทรัพย์สินของจำเลยที่ 1 เพื่อขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้โจทก์
จำเลยที่ 1 ยื่นคำร้องว่า จำเลยที่ 1 ได้ยื่นฟ้องโจทก์เป็นคดีอาญาในข้อหาปลอมเอกสารสัญญากู้ยืมเงินต่อศาลชั้นต้นและหากจำเลยที่ 1 ชนะคดีก็จะสามารถนำหนี้อันเกิดจากมูลละเมิดมาหักกลบลบหนี้กันได้ ขอให้งดการบังคับคดี
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำร้อง ค่าคำร้องให้เป็นพับ
จำเลยที่ 1 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน ให้จำเลยที่ 1 ใช้ค่าทนายความชั้นอุทธรณ์ 1,400 บาท แทนโจทก์
จำเลยที่ 1 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ตามที่จำเลยที่ 1 อ้างมาในคำร้องว่าโจทก์นำสัญญากู้ยืมเงินปลอมมาฟ้องจำเลยทั้งสองแล้วสมคบกับทนายจำเลยที่ 1 ทำสัญญาประนีประนอมยอมความลับหลังจำเลยที่ 1 จนศาลพิพากษาตามยอม จำเลยที่ 1 จึงฟ้องโจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาเป็นคดีอาญาในข้อหาปลอมสัญญากู้ยืมเงิน ซึ่งหากจำเลยที่ 1 ชนะคดีก็สามารถนำมาหักกลบลบหนี้กันได้นั้น จึงเท่ากับจำเลยที่ 1 ฟ้องโจทก์เป็นคดีอาญาเพื่อให้ตนหลุดพ้นจากความรับผิดในคดีนี้ซึ่งศาลได้พิพากษาตามยอมไปแล้ว หามีหนี้ที่จะหักกลบลบกันไม่ ทั้งเป็นการฟ้องคดีในมูลกรณีเดียวกันกับคดีนี้ หาใช่ฟ้องเป็นคดีอื่นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 293 อันจะเป็นเหตุให้ศาลงดการบังคับคดีเพื่อหักกลบลบหนี้กันไม่ ส่วนที่จำเลยที่ 1ฎีกาว่า ศาลอุทธรณ์ภาค 1 กำหนดให้จำเลยที่ 1 ใช้ค่าทนายความชั้นอุทธรณ์ 1,400 บาท แทนโจทก์นั้นสูงเกินควรเนื่องจากจำเลยที่ 1เป็นคนยากไร้นั้น เห็นว่าจำนวนเงินค่าทนายความที่ศาลกำหนดให้เป็นส่วนหนึ่งของค่าฤชาธรรมเนียม ในเรื่องความรับผิดเกี่ยวกับค่าฤชาธรรมเนียมนี้ ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 161บัญญัติให้ความรับผิดชั้นที่สุดสำหรับค่าฤชาธรรมเนียมของคู่ความในคดีย่อมตกอยู่แก่คู่ความฝ่ายที่แพ้คดี และเป็นดุลพินิจของศาลที่จะกำหนดให้โดยคำนึงถึงเหตุสมควรและความสุจริตในการสู้ความหรือการดำเนินคดีของคู่ความทั้งปวง คดีนี้ศาลอุทธรณ์ภาค 1ได้กำหนดค่าทนายความอยู่ระหว่างอัตราขั้นต่ำและอัตราขั้นสูงดังที่ระบุไว้ในตาราง 6 ท้ายประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งโดยคำนึงถึงเหตุผลตามบทบัญญัติข้างต้น นับว่าเป็นการใช้ดุลพินิจที่เหมาะสมแล้วไม่มีเหตุที่ศาลฎีกาจะเปลี่ยนแปลงแก้ไข
พิพากษายืน

Share