คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3181/2536

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

นายหน้าตามความหมายของประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 845นั้น ได้แก่ผู้ชี้ช่องให้ได้มีการเข้าทำสัญญากันหรือผู้ที่จัดการให้ได้ทำสัญญากัน และนายหน้ามีสิทธิได้รับบำเหน็จต่อเมื่อสัญญานั้นได้ทำกันเสร็จเนื่องแต่ผลแห่งการที่นายหน้าได้ชี้ช่องหรือจัดการนั้นการที่ ก. ได้พา ส. ผู้ซื้อไปพบจำเลยที่ 4 ผู้ขายและพากันไปดูที่ดิน และต่อมาได้มีการซื้อขายกันเนื่องมาจากการชี้ช่องดังกล่าว ก. จึงมีสิทธิได้รับค่าบำเหน็จโดยไม่จำเป็นที่ ก.จะต้องอยู่ด้วยในการเจรจาซื้อขายทุก ๆ ครั้ง แต่อย่างใด

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสี่ได้ตั้งให้โจทก์เป็นนายหน้าขายที่ดินต่อมาโจทก์จัดการชี้ช่องเป็นนายหน้าขายที่ดินดังกล่าวให้แก่นายเสรี และได้มีการโอนกรรมสิทธิ์กันแล้ว โดยจำเลยทั้งสี่ได้รับชำระค่าที่ดินในวันนั้น โจทก์มีสิทธิที่จะได้รับค่านายหน้า แต่จำเลยทั้งสี่ชำระให้โจทก์เพียงครึ่งเดียว ส่วนที่เหลือไม่ชำระ ขอให้บังคับจำเลยทั้งสี่ร่วมกันหรือแทนกันชำระเงินจำนวน 275,768 บาทพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันที่ 26 เมษายน 2528เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยทั้งสี่ให้การว่า นายกิตติได้พานายเสรีผู้ตกลงซื้อมาพบติดต่อกับจำเลยที่ 4 ต่อมาโจทก์ได้พานายเสรีมาพบกับจำเลยทั้งสี่อีก เมื่อขายที่ดินเรียบร้อยแล้วจำเลยทั้งสี่ได้ว่าจะชำระบำเหน็จค่านายหน้าให้แก่นายกิตติและโจทก์เท่านั้น โดยชำระให้โจทก์รับไปอัตราร้อยละสองครึ่งของราคาที่ดินที่ขายได้ โจทก์ไม่ทักท้วงกับรับค่านายหน้าส่วนของโจทก์ไปแล้ว โจทก์จึงไม่มีสิทธิเรียกได้อีก ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้ยกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์ โดยได้รับอนุญาตให้ดำเนินคดีอย่างคนอนาถา
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา โดยได้รับอนุญาตให้ดำเนินคดีอย่างคนอนาถา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่คู่ความนำสืบรับและไม่โต้แย้งกันในชั้นฎีกาฟังได้ว่า จำเลยทั้งสี่เป็นเจ้าของที่ดินตามที่โจทก์อ้างในคำฟ้องและได้บอกขายที่ดินแปลงนี้ให้แก่บุคคลทั่วไปโดยฝ่ายจำเลยตกลงที่จะชำระค่านายหน้าให้แก่ผู้ติดต่อหาคนซื้อจนสำเร็จในอัตราร้อยละห้าของราคาที่ขายได้ เมื่อได้หักค่าใช้จ่ายแล้ว โจทก์พานายเสรีไปติดต่อซื้อที่ดินดังกล่าว จนในที่สุดได้มีการจดทะเบียนโอนขายที่ดินแปลงนั้น เมื่อจดทะเบียนโอนที่ดินแล้วจำเลยทั้งสี่ได้ชำระค่านายหน้าให้แก่โจทก์กึ่งหนึ่งเป็นเงิน275,768 บาท ส่วนอีกกึ่งหนึ่งจำนวน 275,768 บาท นั้น จำเลยทั้งสี่ไม่ได้ชำระแก่โจทก์โดยอ้างว่าเป็นส่วนของนายกิตตินายหน้าร่วมอีกคนหนึ่ง คดีมีปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยในชั้นนี้เพียงว่า โจทก์ได้รับชำระค่านายหน้าไปครบถ้วนแล้วหรือไม่ ที่โจทก์ฎีกาว่าแม้จะฟังว่านายกิตติเป็นคนพานายเสรีผู้ซื้อไปดูที่ดินก็ตามแต่ในการเจรจาเพื่อตกลงซื้อขายทุกครั้งไม่มีนายกิตติร่วมอยู่ด้วยนายกิตติจึงไม่ควรได้รับค่านายหน้านั้น เห็นว่า นายหน้าตามความหมายของประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 845 นั้น ได้แก่ผู้ที่ชี้ช่องให้ได้มีการเข้าทำสัญญากัน หรือผู้ที่จัดการให้ได้ทำสัญญากันและนายหน้ามีสิทธิได้รับค่าบำเหน็จต่อเมื่อสัญญานั้นได้ทำกันเสร็จเนื่องแต่ผลแห่งการที่นายหน้าได้ชี้ช่องหรือจัดการนั้นการที่นายกิตติได้พานายเสรีผู้ซื้อไปพบจำเลยที่ 4 ผู้ขายและพากันไปดูที่ดินและต่อมาได้มีการซื้อขายกันเนื่องมาจากการชี้ช่องดังกล่าว นายกิตติจึงมีสิทธิได้รับค่าบำเหน็จโดยไม่จำเป็นที่นายกิตติจะต้องอยู่ด้วยในการเจรจาซื้อขายทุก ๆ ครั้งแต่อย่างใดจำเลยทั้งสี่จึงชอบที่จะไม่จ่ายบำเหน็จค่านายหน้าอีกกึ่งหนึ่งนั้นแก่โจทก์
พิพากษายืน

Share