คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3179/2532

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องจำเลยให้รับผิดตามสัญญาค้ำประกันและศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำเลยชำระหนี้แก่โจทก์แล้ว เมื่อโจทก์นำมูลหนี้ตามคำพิพากษานั้นมาฟ้องเป็นคดีล้มละลาย จึงต้องฟังว่าจำเลยเป็นหนี้โจทก์อยู่ตามฟ้องจริง จำเลยจะอ้างเหตุผลอันเป็นข้อต่อสู้เดิมในคดีก่อนขึ้นมาคัดค้านเพื่อขอให้ศาลรื้อฟื้นปัญหาเรื่องความรับผิดของจำเลยดังกล่าวขึ้นวินิจฉัยอีกไม่ได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยใช้เงินแก่โจทก์จำนวน1,000,000 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันที่21 กันยายน 2528 จนกว่าจะชำระเสร็จและให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ 1 ใน 5 ส่วน โดยกำหนดค่าทนายความ 3,000 บาท ตามสำเนาภาพถ่ายคำพิพากษาท้ายฟ้องหมาย 2 จำเลยทราบคำบังคับแล้วไม่ชำระหนี้แก่โจทก์ โจทก์ขอให้ศาลชั้นต้นออกหมายบังคับคดี ปรากฏว่าจำเลยไม่มีทรัพย์สินใดที่จะยึดมาชำระหนี้ได้ จนถึงวันฟ้องจำเลยต้องชำระหนี้แก่โจทก์ตามคำพิพากษาพร้อมด้วยดอกเบี้ยและค่าฤชาธรรมเนียมเป็นเงินทั้งสิ้น 1,189,134.90 บาท และจำเลยได้หลบหนีไปจากเคหสถานที่เคยอยู่ ไม่ทราบว่าหลบหนีไปอยู่ ณ ที่ใด ขอให้มีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์จำเลยเด็ดขาด และพิพากษาให้ล้มละลาย จำเลยให้การว่าโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องและทนายความไม่มีอำนาจดำเนินคดี จำเลยไม่ได้เป็นหนี้โจทก์ตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้นตามคดีหมายเลขแดงที่5352/2529 จำเลยยังไม่ทราบคำพิพากษาดังกล่าวทั้งไม่มีผู้ใดมายึดทรัพย์จำเลย และจำเลยไม่ได้หลบหนีไปจากเคหสถานที่อยู่อาศัยขอให้ยกฟ้อง ศาลชั้นต้นมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์จำเลยเด็ดขาดตามพระราชบัญญัติ ล้มละลาย พุทธศักราช 2483 มาตรา 14 จำเลยอุทธรณ์ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว คดีคงมีปัญหาในชั้นนี้ตามที่จำเลยฎีกาข้อเดียวว่า จำเลยเป็นหนี้โจทก์อยู่ตามสัญญาค้ำประกันอันเป็นมูลที่โจทก์อ้างมาฟ้องจำเลยเพื่อขอให้ตกเป็นบุคคลล้มละลายจริงหรือไม่ สำหรับปัญหานี้ปรากฏข้อเท็จจริงเป็นยุติว่า ความรับผิดของจำเลยตามสัญญาค้ำประกันดังกล่าว โจทก์ได้ฟ้องบังคับเป็นคดีแพ่งมาก่อนและศาลชั้นต้นได้พิพากษาให้จำเลยชำระหนี้แก่โจทก์ โดยที่จำเลยมิได้อุทธรณ์โต้แย้งคำวินิจฉัยของศาลชั้นต้นว่าไม่ชอบด้วยประการใด คำพิพากษาดังกล่าวจึงเป็นที่สุด หลังจากนั้นเมื่อโจทก์ไม่อาจบังคับชำระหนี้ได้จึงได้นำมูลหนี้ตามคำพิพากษาอันถึงที่สุดนี้มาฟ้องเป็นคดีล้มละลาย ดังนั้นการที่จำเลยจะต้องอ้างเหตุผลอันเป็นข้อต่อสู้เดิมในคดีก่อนซึ่งยุติเด็ดขาดไปแล้ว ขึ้นมาคัดค้านเพื่อขอให้ศาลรื้อฟื้นปัญหาดังกล่าวขึ้นวินิจฉัยในประเด็นเดียวกันนี้อีก จึงไม่อาจกระทำได้ เพราะเป็นกรณีที่จำเลยต้องถูกปิดปากโดยคำพิพากษาอันมีผลต้องห้ามไม่อาจโต้แย้งเป็นอย่างอื่นได้จึงต้องฟังว่า จำเลยเป็นหนี้โจทก์อยู่ตามฟ้องจริง
สำหรับปัญหาว่า จำเลยเป็นผู้มีหนี้สินล้นพ้นตัวหมดความสามารถในการชำระหนี้แก่โจทก์อันควรตกเป็นบุคคลล้มละลายหรือไม่นั้นจำเลยมิได้ฎีกาคัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ในข้อนี้ จึงไม่มีประเด็นที่จะต้องพิจารณา ที่ศาลล่างทั้งสองวินิจฉัยมาชอบแล้วฎีกาจำเลยฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน

Share