คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3171/2543

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

โจทก์บรรยายฟ้องว่า โจทก์ทำสัญญาจะขายที่ดินให้จำเลย แต่ไม่สามารถโอนกรรมสิทธิ์ให้จำเลยภายในกำหนดได้เนื่องจากขัดข้องเรื่องเอกสาร จึงขอขยายระยะเวลา หลังจากที่มีการขอขยายระยะเวลาแล้วโจทก์คืนมัดจำ 5,000,000 บาท แก่จำเลย โจทก์ได้เสนอให้จำเลยถือเงินสดของโจทก์ไว้ 3,000,000 บาท เป็นประกันว่าโจทก์สามารถจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินที่ตกลงจะซื้อจะขายแก่จำเลยได้หาไม่แล้วให้เงินดังกล่าวตกเป็นของจำเลย แต่หากโจทก์ดำเนินการเกี่ยวกับเอกสารโอนที่ดินตามสัญญาจะซื้อจะขายแล้วเสร็จก็ให้จำเลยถือปฏิบัติตามสัญญาจะซื้อจะขายฉบับเดิมพร้อมกับคืนเงินดังกล่าวแก่โจทก์ แสดงว่าการที่โจทก์มอบเงินจำนวนนี้แก่จำเลยสืบเนื่องมาจาก สัญญาจะซื้อจะขายฉบับเดิมที่โจทก์จำเลยทำไว้ต่อกัน เพื่อให้การบังคับตามสัญญาเกิดผลในทางปฏิบัติมิได้มีเจตนาหรือประสงค์ให้เงินจำนวนนี้ เป็นการวางมัดจำหรือเป็นการชำระหนี้บางส่วน เพื่อให้เกิดผลบังคับ เป็นสัญญาใหม่แทนสัญญาจะซื้อจะขายเดิมไม่ อีกทั้งโจทก์ผู้จะขายมอบเงินแก่จำเลยผู้จะซื้อเพื่อเป็นประกันในการปฏิบัติตามสัญญาก็ไม่มีลักษณะ เป็นการวางมัดจำหรือชำระหนี้บางส่วนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 456 วรรคสอง เมื่อสัญญาจะซื้อจะขายระหว่างโจทก์จำเลยฉบับเดิมตกเป็นโมฆะไปแล้วโจทก์กลับอุทธรณ์ว่าเงินจำนวนนี้เป็นการวางมัดจำ หรือเป็นการชำระหนี้บางส่วนเป็นคำเสนอสนอง สัญญาย่อมเกิดขึ้นใหม่ เพื่อให้โจทก์สามารถฟ้องร้องบังคับจำเลยตามสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินได้อีก จึงเป็นเรื่องนอกฟ้อง และเป็นข้อที่ไม่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้ว โดยชอบในศาลชั้นต้น

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 13 มกราคม 2535 โจทก์ทำสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินของโจทก์ให้แก่จำเลยในราคา 30,000,000 บาท ตกลงจดทะเบียนโอนกันวันที่ 8 เมษายน 2535 แต่โจทก์ขัดข้องเรื่องเอกสาร จึงตกลงขอเลื่อนไปวันที่ 10 เมษายน 2535 เมื่อถึงวันที่ 10 เมษายน 2535 ได้มีการตกลงกันขยายระยะเวลาการจดทะเบียนโอนที่ดินออกไปภายใน 90 วันอีกนับแต่วันที่ 10 เมษายน 2535 หลังจากนั้นโจทก์คืนมัดจำ 5,000,000 บาท แก่จำเลยและโจทก์เสนอให้จำเลยถือเงินสดของโจทก์ไว้ 3,000,000 บาท เพื่อให้จำเลยยึดไว้เป็นประกันการปฏิบัติตามสัญญา โดยมีข้อตกลงว่าหากโจทก์ไม่สามารถจะจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ให้จำเลยได้ให้เงินประกัน 3,000,000 บาท ตกเป็นของจำเลย แต่หากดำเนินการเกี่ยวกับเอกสารสัญญาจะซื้อจะขายแล้วเสร็จก็ให้จำเลยถือปฏิบัติตามสัญญาจะซื้อจะขายฉบับลงวันที่ 13 มกราคม 2535 พร้อมทั้งคืนเงินประกัน 3,000,000 บาท แก่โจทก์ ต่อมาโจทก์ดำเนินการเกี่ยวกับเอกสารประกอบการจดทะเบียนที่ดินเสร็จจึงแจ้งให้จำเลยไปจดทะเบียนโอนที่ดินภายใน 7 วัน แต่จำเลยกลับมีหนังสือบอกเลิกสัญญาจะซื้อจะขาย การที่จำเลยผิดสัญญาทำให้โจทก์เสียหาย ขอให้บังคับจำเลยชำระเงินจำนวน 17,600,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 15 ต่อปี จากต้นเงิน 8,000,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์

จำเลยให้การว่า หลังจากทำสัญญาจะซื้อจะขายที่ดิน จำเลยทราบว่าโจทก์ถูกศาลแพ่งสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาด ประกอบกับที่ดินติดจำนองธนาคารโจทก์จึงไม่อาจจดทะเบียนโอนที่ดินแก่จำเลยได้ โจทก์เป็นฝ่ายผิดสัญญา จนในที่สุดโจทก์ยอมคืนมัดจำ 5,000,000 บาท แก่จำเลย จำเลยมีหนังสือบอกเลิกสัญญาและทวงถามค่าเสียหายจากการลงทุนพัฒนาที่ดิน โจทก์ชำระค่าเสียหายแก่จำเลย 3,000,000 บาท ฟ้องขาดอายุความ ขอให้ยกฟ้อง

ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษายกฟ้อง

โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาให้ยกอุทธรณ์โจทก์

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติว่า ศาลแพ่งมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ โจทก์เด็ดขาดในคดีหมายเลขแดงที่ ล. 719/2539 ตามประกาศของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ลงวันที่ 5 พฤศจิกายน 2533 ในระหว่างที่โจทก์ถูกพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดในวันที่ 13 มกราคม 2535 โจทก์ได้ทำสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินโฉนดเลขที่ 12762 ตำบลบ้านใหม่ อำเภอเมืองนครราชสีมา จังหวัดนครราชสีมา ของโจทก์แก่จำเลยในราคา 30,000,000 บาท จำเลยชำระมัดจำจำนวน 5,000,000 บาทในวันทำสัญญา ส่วนที่เหลือกำหนดชำระเมื่อจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินภายใน 90 วันนับแต่วันทำสัญญา ครั้งแรกโจทก์จำเลยตกลงจะไปจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินในวันที่ 8 เมษายน 2535 แต่โจทก์ขอเลื่อนไปวันที่ 10 เดือนเดียวกัน เมื่อถึงวันนัดโจทก์ไม่สามารถไปจดทะเบียนโอนที่ดินแก่จำเลยได้ โจทก์จึงคืนมัดจำ 5,000,000 บาท แก่จำเลย และตกลงเลื่อนการจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินไปภายใน 90 วันนับแต่วันดังกล่าว โดยโจทก์มอบเงินจำนวน 1,000,000 บาท แก่จำเลยไว้เป็นประกันการปฏิบัติตามสัญญา และจำเลยได้ขออายัดที่ดินไว้เมื่อวันที่ 2 กรกฎาคม 2535 ต่อมาวันที่ 17 สิงหาคม 2535 ศาลแพ่งมีคำสั่งพิจารณาคดีล้มละลายของโจทก์ใหม่ แล้วได้มีคำสั่งจำหน่ายคดีเฉพาะส่วนของโจทก์ออกจากสารบบความ โจทก์ได้ชำระเงินแก่จำเลยอีก 2,000,000 บาท ต่อมาวันที่ 9 ตุลาคม 2535 จำเลยมีหนังสือบอกเลิกสัญญากับโจทก์ แต่สัญญาดังกล่าวตกเป็นโมฆะมาแต่แรกเพราะในขณะทำสัญญาโจทก์ถูกศาลแพ่งมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาด คดีมีปัญหาชั้นฎีกาว่าศาลอุทธรณ์ภาค 1 มีคำพิพากษายกอุทธรณ์ของโจทก์ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ ตามคำฟ้องของโจทก์ได้ความว่า โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยตามสัญญาจะซื้อจะขายโดยมีหลักฐานเป็นสัญญาระหว่างโจทก์กับจำเลยตามสัญญาจะซื้อจะขายเป็นสำคัญ โจทก์อุทธรณ์ว่าแม้สัญญาจะซื้อจะขายจะตกเป็นโมฆะ แต่หลังจากศาลแพ่งได้มีคำสั่งให้พิจารณาคดีล้มละลายใหม่ซึ่งมีผลให้คำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดเป็นอันถูกเพิกถอนแล้ว โจทก์ได้ชำระเงินจำนวน 3,000,000 บาทแก่จำเลยเป็นการวางมัดจำหรือชำระหนี้บางส่วนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 456 วรรคสอง โจทก์จึงสามารถฟ้องร้องบังคับจำเลยตามสิทธิที่เกิดขึ้นใหม่ได้อีกนั้น เห็นว่า ในส่วนของเงินจำนวน 3,000,000 บาท นั้น โจทก์ได้บรรยายไว้ในคำฟ้องว่า หลังจากที่มีการขอขยายระยะเวลาแล้วโจทก์ได้คืนมัดจำ 5,000,000 บาทแก่จำเลยไปแล้ว โจทก์ได้เสนอให้จำเลยถือเงินสดของโจทก์ไว้ 3,000,000 บาทเป็นประกันว่าโจทก์สามารถจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินที่ตกลงจะซื้อขายแก่จำเลยได้ หากโจทก์ไม่สามารถจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินแก่จำเลยให้เงินประกันจำนวน 3,000,000 บาท ตกเป็นของจำเลย แต่หากโจทก์ดำเนินการเกี่ยวกับเอกสารการโอนที่ดินตามสัญญาจะซื้อจะขายแล้วเสร็จก็ให้จำเลยถือปฏิบัติตามสัญญาจะซื้อจะขายฉบับลงวันที่ 13 มกราคม 2535 พร้อมกับคืนเงินประกันจำนวน 3,000,000 บาทแก่โจทก์ ต่อมาโจทก์ดำเนินการเกี่ยวกับเอกสารแล้วเสร็จ จึงแจ้งให้จำเลยจดทะเบียนรับโอนที่ดิน แต่จำเลยผิดสัญญาไม่มาดำเนินการและกลับบอกเลิกสัญญาจะซื้อจะขายต่อโจทก์ การกระทำของจำเลยทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายจึงขอเรียกค่าเสียหายจากจำเลยตามคำฟ้องดังกล่าวแสดงว่า การที่โจทก์มอบเงินจำนวน 3,000,000 บาท แก่จำเลยเป็นผลสืบเนื่องมาจากสัญญาจะซื้อจะขายที่โจทก์จำเลยทำไว้ต่อกันเพื่อให้การบังคับตามสัญญาจะซื้อจะขายดังกล่าวเกิดผลในทางปฏิบัติ โจทก์จำเลยมิได้มีเจตนาหรือจุดประสงค์ให้เงินจำนวนดังกล่าวเป็นการวางมัดจำหรือเป็นการชำระหนี้บางส่วนเพื่อให้เกิดผลบังคับเป็นสัญญาใหม่ แทนสัญญาจะซื้อจะขายเดิมแต่อย่างใดไม่ อีกทั้งที่โจทก์ในฐานะเจ้าของที่ดินผู้จะขายมอบเงินจำนวน 3,000,000 บาท แก่จำเลยเพื่อเป็นประกันในการปฏิบัติตามสัญญาตามข้ออ้างของโจทก์ ก็ไม่มีลักษณะเป็นการวางมัดจำหรือเป็นการชำระหนี้บางส่วนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 456 วรรคสอง แต่อย่างใด ดังนั้น เมื่อสัญญาจะซื้อจะขายระหว่างโจทก์จำเลยได้ตกเป็นโมฆะไปแล้ว โจทก์กลับอุทธรณ์อ้างว่าเงินประกันจำนวน 3,000,000 บาท ที่โจทก์มอบแก่จำเลยนั้นเป็นการวางมัดจำหรือเป็นการชำระหนี้บางส่วน ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 456 วรรคสอง เป็นคำเสนอสนอง สัญญาย่อมเกิดขึ้นใหม่ทั้งนี้เพื่อให้โจทก์สามารถฟ้องร้องบังคับจำเลยตามสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินได้อีก จึงเป็นเรื่องนอกฟ้อง ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายกอุทธรณ์ของโจทก์ โดยเห็นว่าอุทธรณ์ของโจทก์เป็นข้อที่ไม่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นจึงชอบแล้ว ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น”

พิพากษายืน

Share