แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์เป็นเพียงผู้ที่ได้รับมอบหมายจากบิดาโจทก์ให้เป็นผู้ช่วยเหลือดำเนินกิจการของห้างขายยา ซึ่งมิได้เป็นนิติบุคคลและเป็นของบิดาโจทก์แต่ผู้เดียวดังนั้นการที่สามีจำเลยนำเช็คพิพาทซึ่งเป็นเช็คที่จำเลยสั่งจ่ายให้แก่ผู้ถือมามอบให้บิดาโจทก์เพื่อชำระหนี้ค่ายา และบิดาโจทก์มอบเช็คพิพาทให้โจทก์ไว้เพื่อใช้จ่ายในกิจการของห้างขายยา โจทก์ก็เป็นแต่เพียงผู้ยึดถือเช็คพิพาทไว้แทนบิดาโจทก์ การที่โจทก์นำเช็คพิพาทไปเข้าบัญชีของโจทก์และธนาคารได้ปฏิเสธการจ่ายเงินไม่มีผลให้โจทก์กลายเป็นผู้มีเช็คพิพาทไว้ในครอบครองโดยฐานเป็นผู้รับเงินหรือผู้รับสลักหลัง หรือเป็นผู้ถือเช็คพิพาทไว้เพื่อตนตามนัยแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 904 โจทก์จึงไม่ใช่ผู้ทรงและไม่มีอำนาจนำเช็คพิพาทมาฟ้องจำเลยได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นผู้ทรงเช็คพิพาททั้ง 2 ฉบับซึ่งจำเลยเป็นผู้สั่งจ่าย เมื่อถึงกำหนดชำระ โจทก์นำเช็คไปเข้าบัญชีของโจทก์ที่ธนาคารเพื่อเรียกเก็บเงิน แต่ธนาคารตามเช็คปฏิเสธการจ่ายเงิน ขอให้บังคับจำเลยชำระเงินตามเช็คพร้อมด้วยดอกเบี้ย
จำเลยให้การว่า เดิมจำเลยออกเช็ค 2 ฉบับมอบให้สามีจำเลยซึ่งเป็นผู้จัดการบริษัทมิราเคิลแอคเวอร์ไทซิ้งแอนด์มาร์เก็ตติ้ง จำกัด เพื่อเป็นประกันสินค้าที่รับมาจากเจ้าของห้างโพธิ์พิศาลโอสถ เพื่อโฆษณาขายยาให้ตามสัญญาแต่ต่อมาเจ้าของห้างไม่ยอมส่งมอบสินค้ายาให้ตามสัญญา บริษัทดังกล่าวได้รับความเสียหาย เช็คทั้ง 2 ฉบับจึงไม่มีมูลหนี้ โจทก์จำเลยไม่เคยมีนิติสัมพันธ์กัน โจทก์จึงไม่ใช่ผู้ทรงเช็คทั้ง 2 ฉบับ โจทก์รู้ดีว่าเช็คทั้ง 2 ฉบับเป็นเรื่องประกันสินค้าการที่โจทก์มาฟ้องคดีจึงเป็นการใช้สิทธิไม่สุจริต ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า โจทก์เป็นผู้ทรงเช็คตามฟ้องโดยชอบด้วยกฎหมายพิพากษาให้จำเลยชำระเงินตามเช็คพร้อมด้วยดอกเบี้ย
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยเป็นผู้สั่งจ่ายเช็คพิพาททั้ง 2 ฉบับซึ่งเป็นเช็คสั่งจ่ายให้แก่ผู้ถือ มอบให้สามีจำเลยนำไปมอบให้บิดาโจทก์ซึ่งเป็นเจ้าของห้างโพธิ์พิศาลโอสถ ต่อมาโจทก์นำเช็คพิพาททั้ง 2 ฉบับไปเข้าบัญชีของโจทก์ และธนาคารได้ปฏิเสธการจ่ายเงินตามเช็คพิพาททั้ง 2 ฉบับ โจทก์เป็นเพียงผู้ที่ได้รับมอบหมายจากบิดาโจทก์ให้เป็นผู้ช่วยเหลือดำเนินกิจการของห้างโพธิ์พิศาลโอสถ ซึ่งมิได้เป็นนิติบุคคลและเป็นของบิดาโจทก์แต่ผู้เดียวแทนบิดาโจทก์เท่านั้น โดยโจทก์มิได้อยู่ในฐานะเป็นหุ้นส่วนหรือเจ้าของรวมในกิจการของห้างโพธิ์พิศาลโอสถ แล้ววินิจฉัยข้อกฎหมายว่า ถึงหากการที่สามีจำเลยนำเช็คพิพาททั้ง 2 ฉบับมามอบให้บิดาโจทก์จะเป็นการมอบให้เพื่อชำระหนี้ค่ายาให้แก่บิดาโจทก์ดังที่โจทก์นำสืบ แต่เมื่อการที่บิดาโจทก์มอบเช็คพิพาททั้ง 2 ฉบับให้โจทก์นั้นเป็นการมอบให้ไว้เพื่อใช้จ่ายในกิจการของห้างโพธิ์พิศาลโอสถ ซึ่งเป็นของบิดาโจทก์ โจทก์ก็เป็นแต่เพียงผู้ยึดถือเช็คพิพาททั้ง 2 ฉบับไว้แทนบิดาโจทก์เท่านั้น การที่โจทก์นำเช็คพิพาททั้ง 2 ฉบับไปเข้าบัญชีของโจทก์และธนาคารได้ปฏิเสธการจ่ายเงิน ไม่มีผลให้โจทก์กลายเป็นผู้มีเช็คพิพาททั้ง 2 ฉบับไว้ในครอบครองโดยฐานเป็นผู้รับเงินหรือผู้รับสลักหลังหรือเป็นผู้ถือเช็คพิพาททั้ง 2 ฉบับไว้เพื่อตน ตามนัยแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 904 ดังนั้น บิดาโจทก์ซึ่งโจทก์เป็นผู้ยึดถือเช็คพิพาททั้ง 2 ฉบับไว้แทนต่างหากที่เป็นผู้ทรง โจทก์หาใช่ผู้ทรงเช็คพิพาททั้ง 2 ฉบับตามบทกฎหมายข้างต้นไม่ โจทก์จึงไม่มีอำนาจนำเช็คพิพาทมาฟ้องจำเลยได้
พิพากษากลับให้ยกฟ้องโจทก์