แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
ข้อความคำให้สัมภาษณ์ของ ท. ที่จำเลยเขียนและพิมพ์โฆษณาในบทความหนังสือพิมพ์รายวัน เป็นข้อความซึ่งเป็นเท็จ เป็นการฝ่าฝืนข้อห้ามตามข้อ 2(6) อันเป็นความผิดตามข้อ 5 แห่งคำสั่งของคณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดิน ฉบับที่ 42
การกระทำของจำเลยเพียงอาจก่อให้เกิดความขัดแย้งระหว่างทหารชั้นผู้ใหญ่รุ่นเดียวกัน ไม่เป็นเหตุถึงกับทำให้กองทัพบกเกิดความแตกแยกเสียหาย พฤติการณ์แห่งคดีก็ไม่ถึงขั้นร้ายแรง ศาลรอการลงโทษจำคุกให้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องและแก้ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายน 2524 เวลากลางวันและกลางคืน จำเลยซึ่งเป็นเจ้าของ บรรณาธิการผู้พิมพ์และผู้โฆษณาหนังสือพิมพ์รายวันชื่อแนวหน้า ตามพระราชบัญญัติการพิมพ์ พ.ศ. 2484 ได้บังอาจโฆษณาข้อความอันเป็นเท็จในหนังสือพิมพ์ดังกล่าว ฉบับปีที่ 2 ฉบับที่ 598 วันอังคารที่ 10 พฤศจิกายน 2524 หน้า 3 คอลัมน์ “พญาไม้” หัวข้อเรื่อง “อาทิตย์” กับ “เทียน” มีข้อความบางตอนดังนี้ “เอ่ยชื่อพลเอกอาทิตย์ กำลังเอก กับพลโทเทียนชัย สิริสัมพันธ์ ทั้ง 2 ท่านเป็นทหารรุ่นเดียวกัน คือเตรียม ทบ. รุ่น 5 ซึ่งกำลังเป็นทหารใหญ่รุ่นสะท้านโลกันต์อยู่ในปัจจุบัน แต่เวลาท่านพูดกันในเรื่องเดียวกัน ท่านพูดกันมันเหลือทน อย่างกรณีสังหารอันวาร์ ซาดัต พลเอกอาทิตย์ให้ความคิดว่า “คิดว่าเมืองไทยคงไม่เป็นอย่างนั้น เพราะเรานับถือพระพุทธศาสนานิสัยใจคอของคนไทยเราไม่เหมือนคนอื่น ปัญหาต่าง ๆ ของเราก็ไม่เหมือนเขา”ส่วนพลโทเทียนชัย สิริสัมพันธ์ ท่านก็พูดของท่านว่า “ผู้ใหญ่เมืองไทยเรานี้เอะอะอะไรหน่อยก็เมืองไทยเป็นเมืองพระพุทธศาสนาพูดราวกับว่าพระธรรมแห่งพุทธศาสนาได้ซึมซาบเข้าไปอยู่ในจิตใจของคนไทยทุกคน ซึ่งไม่เป็นความจริง เพราะในเมืองไทยเรานี่แหละจะหาตัวอย่างการฆ่าที่โหดเหี้ยมทารุณยิ่งกว่าสัตว์ป่าหรือการฆ่าแบบเลือดเย็นที่ไม่สะทกสะท้านอะไรได้ไม่ยาก ดังนั้นเราควรรับความจริงกันเสียทีว่าความโหดเหี้ยมทารุณจึงยังคงมีอยู่เช่นเดียวกับที่อื่น ๆ ในโลกเพื่อเราจะได้ไม่หลงตัวเอง”ทหารใหญ่ พลโทเทียนชัย สิริสัมพันธ์ เจ้ากรมการรักษาดินแดนว่าอีกว่า “อันความปลอดภัยของคนสำคัญนั้น มันต้องประกอบด้วย 2 ด้านคือ ตัวบุคคลสำคัญเองต้องไม่สร้างศัตรู และพยายามมีมิตรและคนรักให้มาก ๆ เพื่อจะได้ลดผู้อาฆาตมาดร้ายลงให้เหลือน้อยที่สุด” “อีกด้านหนึ่งการจัดระบบรักษาความปลอดภัยต้องดีเยี่ยม เตรียมพร้อมอยู่เสมอด้วยความไม่ประมาท” “อ่านทวนกันลงมาอีกทีในวลีที่ท่านพูดถึงเหตุการณ์เดียวกัน ความเห็นของแต่ละท่านเหมือนเกิดกันคนละสมัย ใครจะถูกใครจะผิดก็ต้องคิดกันไปตามใจแต่ละคนเพราะ “เรื่องตลก” ในกองทัพนั้น เพราะเขาหาว่าเราแตกแยกกัน จริง ๆ นั่นแหละ ป๋า ” อันเป็นข้อความซึ่งเป็นเท็จ ความจริงแล้วพลโทเทียนชัย สิริสัมพันธ์ไม่เคยกล่าวข้อความที่ปรากฏในบทความดังกล่าวหรือเคยให้สัมภาษณ์หนังสือพิมพ์หรือผู้ใด เมื่อจำเลยพิมพ์ข้อความอันเป็นเท็จโฆษณาในหนังสือพิมพ์ดังกล่าวแล้วจำเลยได้นำออกจำหน่ายจ่ายแจกแก่ประชาชนทั่วราชอาณาจักร อันเป็นการกระทำฝ่าฝืนต่อคำสั่งของคณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดิน ฉบับที่ 42 เหตุเกิดที่แขวงลาดยาว เขตบางเขน ทุกแขวงและทุกเขตในกรุงเทพมหานคร ทุกตำบลและทุกอำเภอทั่วราชอาณาจักรจำเลยเป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยในคดีอาญาหมายเลขดำที่ 4725/2525 ของศาลชั้นต้น ขอให้ลงโทษตามคำสั่งของคณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดิน ฉบับที่ 42 ลงวันที่ 21 ตุลาคม 2519 ข้อ 2, 4, 5 พระราชบัญญัติการพิมพ์ พ.ศ. 2484 มาตรา 4, 5, 23, 48 ขอให้ทำลายหนังสือพิมพ์ของจำเลยที่มีข้อความเท็จและขอนับโทษจำเลยในคดีนี้ต่อจากโทษในคดีอาญาหมายเลขดำที่ 4725/2525 ของศาลชั้นต้น
จำเลยให้การปฏิเสธว่ามิได้มีเจตนากระทำความผิด บทความต่าง ๆได้พิมพ์โฆษณาไปตามรายงานของผู้สื่อข่าวหนังสือพิมพ์โดยสุจริต
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประกาศของคณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดิน ฉบับที่ 42 ลงวันที่ 21 ตุลาคม 2519 พระราชบัญญัติการพิมพ์ พ.ศ. 2484 ให้จำคุก 6 เดือน กับให้ทำลายหนังสือพิมพ์ของจำเลยที่มีข้อความเท็จ ส่วนคำขอที่ให้นับโทษจำเลยต่อจากโทษในคดีอาญาหมายเลขดำที่ 4725/2525 ของศาลชั้นต้นนั้นปรากฏว่าคดีดังกล่าวศาลพิพากษายกฟ้อง ให้ยกคำขอส่วนนี้ของโจทก์
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประกาศของคณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดิน ฉบับที่ 42 ลงวันที่ 21 ตุลาคม 2519 ข้อ 2 ข้อ 4 จำคุก 6 เดือน คดีมีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 4 เดือน ให้ทำลายหนังสือพิมพ์ของจำเลยที่มีข้อความเท็จ คำขออื่นและคำขอนับโทษต่อให้ยก
จำเลยฎีกาโดยผู้พิพากษาศาลชั้นต้นซึ่งนั่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาเห็นว่าฎีกาของจำเลยข้อ 2.2 เป็นปัญหาข้อเท็จจริงที่เป็นปัญหาสำคัญอันควรสู่ศาลฎีกาวินิจฉัยและอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงดังกล่าวได้
ศาลฎีกาตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว ข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติได้ว่าจำเลยเป็นเจ้าของ บรรณาธิการ ผู้พิมพ์และผู้โฆษณาหนังสือพิมพ์รายวันชื่อ แนวหน้า และจำเลยเป็นผู้เขียนหรือประพันธ์บทความลงในหนังสือพิมพ์ดังกล่าวประจำคอลัมน์ หน้า 3 “พญาไม้” อันเป็นชื่อนามปากกาของจำเลย ตามวันเวลาเกิดเหตุ จำเลยได้เขียนคอลัมน์เปรียบเทียบการให้สัมภาษณ์ของพลเอกอาทิตย์ กำลังเอก และพลเอกเทียนชัย สิริสัมพันธ์ ในหนังสือพิมพ์รายวันแนวหน้า ปีที่ 2 ฉบับที่ 548 วันอังคารที่ 10 พฤศจิกายน 2524 หน้า 3 คอลัมน์ “พญาไม้” อันเป็นคอลัมน์ของจำเลยในหัวข้อเรื่อง “อาทิตย์” กับ “เทียน” มีข้อความรายละเอียดตามฟ้องดังเอกสารหมาย จ.4 คดีมีปัญหาว่าจำเลยได้กระทำผิดดังที่โจทก์ฟ้องหรือไม่
โจทก์นำสืบว่า พลเอกเทียนชัย สิริสัมพันธ์ ไม่ได้ให้สัมภาษณ์ตามข้อความที่ปรากฏในหนังสือพิมพ์รายวันแนวหน้าฉบับวันอังคารที่ 10 พฤศจิกายน 2524 หน้า 3 คอลัมน์ “พญาไม้” ตามเอกสารหมาย จ.4โดยข้อความดังกล่าวเป็นเท็จ เมื่อเปรียบเทียบกับคำให้สัมภาษณ์ของพลเอกอาทิตย์ กำลังเอก ในเรื่องเดียวกันทำให้เห็นว่านายทหารชั้นผู้ใหญ่ของกองทัพบกขัดแย้งกัน ก่อให้เกิดความเสียหายแก่ราชการกองทัพบกสำนักงานเลขานุการกองทัพบกจึงติดต่อขอให้กระทรวงมหาดไทยในฐานะเจ้าพนักงานการพิมพ์ดำเนินคดีแก่จำเลยเป็นคดีนี้
จำเลยนำสืบว่า จำเลยได้เขียนคอลัมน์การให้สัมภาษณ์ของพลเอกอาทิตย์ กำลังเอก และพลเอกเทียนชัย สิริสัมพันธ์ ในหนังสือพิมพ์รายวันแนวหน้าตามเอกสารหมาย จ.4 โดยเก็บข้อมูลการให้สัมภาษณ์ของบุคคลทั้งสองจากหนังสือพิมพ์รายวันตามเอกสารหมาย ล.1 จำเลยมิได้ไปสัมภาษณ์บุคคลทั้งสองด้วยตนเอง ข้อความตามเอกสารหมาย จ.4 ทุกตอนเป็นความจริง ไม่มีข้อความตอนใดเป็นเท็จ จำเลยเขียนบทความดังกล่าวก็เพื่อต้องการให้เจ้าหน้าที่ของรัฐใช้ความระมัดระวังในการรักษาความปลอดภัยแก่ผู้นำโดยจำเลยมิได้มีเจตนาร้ายแต่อย่างใด
พิเคราะห์แล้ว ปัญหาที่ว่า จำเลยได้กระทำผิดดังที่โจทก์ฟ้องหรือไม่นั้น บทความที่จำเลยเขียนลงในหนังสือพิมพ์รายวันแนวหน้า ฉบับวันอังคารที่ 10 พฤศจิกายน 2524 หน้า 3 คอลัมน์ “พญาไม้” ในหัวข้อเรื่อง”อาทิตย์” กับ “เทียน” ตามเอกสารหมาย จ.4 จำเลยหยิบยกข้อความที่อ้างว่าเป็นคำให้สัมภาษณ์ของพลเอกเทียนชัย สิริสัมพันธ์ เปรียบเทียบกับคำให้สัมภาษณ์ของพลเอกอาทิตย์ กำลังเอก เกี่ยวกับกรณีที่นายอันวาร์ซาดัต ถูกสังหาร อันมีลักษณะส่อให้เห็นว่าบุคคลทั้งสองซึ่งเป็นนายทหารชั้นผู้ใหญ่มีความขัดแย้งกัน จำเลยระบุถึงคำให้สัมภาษณ์ของพลเอกอาทิตย์กำลังเอก ว่า “คิดว่าเมืองไทยคงไม่เป็นอย่างนั้น เพราะเรานับถือพระพุทธศาสนา นิสสัยใจคอของคนไทยเราไม่เหมือนคนอื่น ปัญหาต่าง ๆ ของเราก็ไม่เหมือนเขา” และระบุถึงคำให้สัมภาษณ์ของพลเอกเทียนชัย สิริสัมพันธ์ว่า “ผู้ใหญ่เมืองไทยเรานี้ เอะอะอะไรหน่อยก็เมืองไทยเป็นเมืองพระพุทธศาสนา พูดราวกับว่า พระธรรมแห่งพระพุทธศาสนาได้ซึมซาบเข้าไปอยู่ในจิตใจของคนไทยทุกคน ซึ่งไม่เป็นความจริง เพราะในเมืองไทยเรานี้แหละจะหาตัวอย่างการฆ่าที่โหดเหี้ยมทารุณยิ่งกวาสัตว์ป่าหรือการฆ่าแบบเลือดเย็นที่ไม่สะทกสะท้านอะไรได้ไม่ยาก ดังนั้นเราควรรับทราบความจริงกันเสียทีว่า ความโหดเหี้ยมทารุณจึงยังคงมีอยู่เช่นเดียวกับที่อื่น ๆ ในโลก เพื่อเราได้ไม่หลงตัวเอง ” และว่า “ทหารใหญ่พลโทเทียนชัย สิริสัมพันธ์(ยศขณะนั้น) เจ้ากรมการรักษาดินแดนว่าอีกว่า “อันความปลอดภัยของคนสำคัญนั้นมันต้องประกอบด้วย 2 ด้านคือ ตัวบุคคลสำคัญเองต้องไม่สร้างศัตรู และพยายามีมิตรและคนรักให้มาก ๆ เพื่อจะได้ลดผู้อาฆาตมาดร้ายให้เหลือน้อยที่สุด ” “อีกด้านหนึ่ง การจัดระบบรักษาความปลอดภัยต้องดีเยี่ยมเตรียมพร้อมอยู่เสมอด้วยความไม่ประมาท” “แต่อะไรก็ตามที่ในโลกนี้หาสิ่งที่ดีเยี่ยมที่สุดในโลกไม่ได้ ทุกสิ่งทุกอย่างย่อมมีโอกาสและช่องทางของมันเสมอดังนั้นต้องปลงให้ตกว่า การเป็นบุคคลสำคัญก็เป็นการเสียสละอย่างหนึ่ง ซึ่งอาจถึงขั้นสละชีวิตก็ได้ถ้าใครยังรักตัวกลัวตายอยู่ก็จงอย่าพยายามเป็นคนสำคัญเลย” โจทก์มีพลเอกเทียนชัย สิริสัมพันธ์ เป็นพยานเบิกความยืนยันว่า ตนให้สัมภาษณ์แก่ผู้สื่อข่าวสำนักข่าวไทยในกรณีที่นายอันวาร์ ซาดัต ถูกสังหาร โดยมีการแจกจ่ายข่าวไปยังหนังสือพิมพ์อื่นด้วย ข้อความที่ให้สัมภาษณ์ปรากฏตามหนังสือพิมพ์หลายฉบับที่ลงข่าวเรื่องนี้ ซึ่งมีใจความย่อ ๆ ว่า การระมัดระวังป้องกันจะหาความปลอดภัยเต็มร้อยเปอร์เซ็นต์ไม่ได้ เพราะความบกพร่องอาจเกิดขึ้นได้ และว่า พยานมิได้ให้สัมภาษณ์ดังข้อความตามเอกสารหมาย จ.4 ข้อความดังกล่าวไม่เป็นความจริง ตัวจำเลยก็เบิกความยอมรับว่ามิได้ไปสัมภาษณ์พลเอกเทียนชัย สิริสัมพันธ์ ด้วยตนเอง จำเลยเขียนคอลัมน์คำให้สัมภาษณ์ของพลเอกเทียนชัย สิริสัมพันธ์ ตามเอกสารหมาย จ.4 โดยเก็บข้อมูลมาจากหนังสือพิมพ์รายวันตามเอกสารหมาย ล.1 แต่จำเลยได้เพิ่มเติมข้อความมากกว่าที่ปรากฏในเอกสารหมาย ล.1 ประกอบกับข้อความคำให้สัมภาษณ์ของพลเอกเทียนชัย สิริสัมพันธ์ ในหนังสือพิมพ์รายวันแนวหน้าและหนังสือพิมพ์มติชนประจำวันที่ 9 ตุลาคม 2524 ตามเอกสารหมาย ล.1 ก็มิได้มีข้อความดังเช่นเอกสารหมาย จ.4 ทั้งพลเอกเทียนชัย สิริสัมพันธ์ ก็ได้ยืนยันปฏิเสธแก่จำเลยว่ามิได้ให้คำสัมภาษณ์ดังกล่าว ข้อนำสืบของจำเลยเจือสมคำเบิกความของพลเอกเทียนชัย สิริสัมพันธ์พยานโจทก์ซึ่งแม้จะเป็นพยานเดียวก็มีน้ำหนักน่าเชื่อถือ ข้อเท็จจริงเป็นอันฟังได้ว่า ข้อความคำให้สัมภาษณ์ของพลเอกเทียนชัย สิริสัมพันธ์ ที่จำเลยเขียนและพิมพ์โฆษณาในบทความหนังสือพิมพ์รายวันแนวหน้าตามเอกสารหมาย จ.4 เป็นข้อความซึ่งเป็นเท็จ การกระทำของจำเลยเป็นการฝ่าฝืนข้อห้ามตาม ข้อ 2(6) อันเป็นความผิดตามข้อ 5 แห่งคำสั่งของคณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดิน ฉบับที่ 42 ซึ่งยังคงมีผลเป็นกฎหมายใช้บังคับอยู่ หาได้ถูกยกเลิกไปโดยประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 2 ลงวันที่ 20 ตุลาคม 2520 ดังข้อฎีกาของจำเลยแต่อย่างใดไม่ ดังจะเห็นได้จากการที่ในเวลาต่อมาได้มีพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมคำสั่งของคณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดิน ฉบับที่ 42 ลงวันที่ 21 ตุลาคม พ.ศ. 2519 พ.ศ. 2525 ให้ผู้ถูกสั่งถอนใบอนุญาตตามข้อ 7 ยื่นคำร้องคัดค้านต่อศาลชั้นต้นเพื่อให้ศาลชั้นต้นดำเนินการพิจารณาแล้วทำความเห็นและส่งสำนวนไปยังศาลฎีกาเพื่อวินิจฉัยต่อไปศาลล่างทั้งสองลงโทษ จำเลยตามบทกฎหมายดังกล่าวจึงเป็นการชอบแล้ว ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น อย่างไรก็ดี บทกฎหมายที่ว่านี้เป็นคำสั่งของคณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดิน มิใช่ประกาศ และบทลงโทษก็เป็นข้อ 5 ดังคำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์ แต่ศาลอุทธรณ์พิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามข้อ 4 จึงเป็นข้อผิดพลาดสมควรแก้ไขให้ถูกต้อง
ส่วนข้อฎีกาของจำเลยที่ขอให้รอการลงโทษนั้น เห็นว่าการกระทำของจำเลยเพียงอาจก่อให้เกิดความขัดแย้งในระหว่างพลเอกอาทิตย์กำลังเอก และพลเอกเทียนชัย สิริสัมพันธ์ ซึ่งเป็นนายทหารชั้นผู้ใหญ่รุ่นเดียวกันไม่เป็นเหตุถึงกับทำให้กองทัพบกเกิดความแตกแยกเสียหาย พฤติการณ์แห่งคดีไม่ถึงขั้นร้ายแรง ประกอบกับจำเลยไม่เคยกระทำผิดมาก่อน สมควรให้ความปรานีแก่จำเลยได้มีโอกาสกลับประพฤติตนเป็นพลเมืองดีต่อไป ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาจำคุกจำเลยโดยไม่รอการลงโทษ ศาลฎีกายังไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยข้อนี้ฟังขึ้น
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามคำสั่งของคณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดิน ฉบับที่ 42 ลงวันที่ 21 ตุลาคม 2519 ข้อ 2 และข้อ 5 โดยให้รอการลงโทษจำคุกจำเลยไว้ภายในกำหนดสองปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์