คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 315/2512

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยที่ 2 ในฐานะพนักงานสอบสวน ยึดรถยนต์ของโจทก์ซึ่งชนกับรถของกรมตำรวจไว้ เพื่อประกอบการสอบสวนดำเนินคดี ซึ่งอยู่ในอำนาจหน้าที่ตามกฎหมาย เมื่อได้กระทำไปโดยสุจริตมิได้เจตนากลั่นแกล้งให้โจทก์เสียหาย ไม่เป็นการทำละเมิดต่อโจทก์

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ ๑๕ มกราคม ๒๕๐๘ รถจี๊ปของกรมตำรวจซึ่งจำเลยที่ ๑ นั่งมาได้ชนกับรถยนต์บรรทุกของโจทก์ รุ่งขึ้นจำเลยที่ ๒ ในตำแหน่งเจ้าพนักงานตำรวจผู้บังคับกองเมือง ได้ยึดรถของโจทก์ไว้เพื่อการสอบสวนและได้ส่งมอบแก่โจทก์ในวันที่ ๒๑ เดือนเดียวกันครั้นวันที่ ๒๓ เดือนนั้นเอง จำเลยที่ ๑ เจ้าพนักงานตำรวจประจำกองกำกับการตำรวจภูธรได้ใช้อำนาจในตำแหน่งหน้าที่โดยมิชอบ ได้ใช้ให้จำเลยที่ ๒, ๓, ๔ ไปยึดรถคันดังกล่าวของโจทก์มากักไว้ที่สถานีตำรวจโดยอ้างว่าให้พนักงานสอบสวนประกอบการดำเนินคดี ซึ่งความจริงไม่มีอำนาจกระทำได้โดยชอบ หากแต่ประสงค์จะกลั่นแกล้งไม่ให้โจทก์นำรถไปใช้สอย การกระทำละเมิดของจำเลยทั้ง ๔ คน ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายวันละ ๘๐๐ บาท นับจนถึงวันฟ้องรวม ๓๗ วันเป็นเงิน๒๙,๖๐๐ บาท ขอให้บังคับจำเลยใช้ค่าเสียหายพร้อมดอกเบี้ยในจำนวนเงินดังกล่าว จนกว่าจะชำระเสร็จ กับให้คืนรถหรือใช้ราคา ๖๐,๐๐๐ บาท
จำเลยทั้ง ๔ คนให้การต่อสู้ว่าได้ยึดรถยนต์โจทก์ไว้เป็นของกลางเพื่อประกอบการสอบสวนดำเนินคดีตามอำนาจหน้าที่ในฐานะพนักงานสอบสวนภายหลังที่จำเลยที่ ๒ ได้มอบรถคืนให้โจทก์ไปเพราะเหตุที่พยานบางคนยังป่วยอยู่แล้ว ได้แจ้งให้นำรถมาส่งมอบเพื่อการสอบสวนคดี โจทก์ยังไม่ยอมส่งมอบจนต่อเมื่อได้ชี้แจงเหตุผลให้ทราบแล้ว จึงยอมให้ยึดไว้และจากนั้นได้นำรถของกลางไปทำหลักฐานการสอบสวนคดี
ระหว่างพิจารณาจำเลยที่ ๓ มรณะ ศาลอนุญาตให้โจทก์ถอนฟ้องสำหรับจำเลยที่ ๓
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วเห็นว่า พยานโจทก์ฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ ๑ เป็นผู้ใช้ให้จำเลยที่ ๒, ๓, ๔ ไปยึดรถยนต์โจทก์ ส่วนจำเลยที่ ๒ ฟังว่ายึดมาเพื่อใช้ในการสอบสวนคดี จึงอยู่ในอำนาจที่จะทำได้ไม่เป็นละเมิด สำหรับจำเลยที่ ๔ เห็นว่าไม่ได้ร่วมยึดรถด้วยพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยที่ ๒ ได้ยึดรถยนต์ของโจทก์ครั้งที่สองไว้ก็เพื่อให้พยานซึ่งทุเลาจากการป่วยและเพิ่งออกจากโรงพยาบาลได้ดูสภาพของรถ จำเลยได้ทำการตรวจสภาพรถ ถ่ายภาพไว้ตลอดจนได้นำรถไปที่เกิดเหตุ เห็นได้ว่าจำเลยที่ ๒ ได้ยึดรถโจทก์ไว้เพื่อประกอบการสอบสวนโดยสุจริตมิได้มีเจตนากลั่นแกล้งให้โจทก์ได้รับความเสียหาย เป็นการปฏิบัติหน้าที่ในฐานะพนักงานสอบสวนซึ่งมีอำนาจตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๘๕, ๑๓๒ การกระทำของจำเลยที่ ๒ จึงไม่เป็นละเมิด ส่วนจำเลยที่ ๑ และ ๔ ก็ไม่ได้ความว่าได้ทำละเมิดต่อโจทก์
พิพากษายืน.

Share