คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 314/2512

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ที่ดินพิพาทตามที่โจทก์ยื่นคำร้องว่า จำเลยได้บุกรุกเข้าไปปลูกพืชพันธุ์ลงไปและขอให้ศาลบังคับจำเลยให้ออกไปนั้น เป็นที่ดินส่วนหนึ่งของที่ดินโจทก์ที่จำเลยทำสัญญาประนีประนอมยอมความนั้นจนคดีถึงที่สุดแล้ว ดังนั้น การดำเนินการพิจารณาตามคำร้องของโจทก์จึงเป็นเรื่องในชั้นบังคับคดีและมีปัญหาเพียงว่า จำเลยได้ปฏิบัติถูกต้องตามคำพิพากษาหรือไม่เท่านั้น ไม่มีปัญหาต้องวินิจฉัยซ้ำไปถึงว่าโจทก์จะมีสิทธิครอบครองที่พิพาทอีกหรือไม่ ดังข้อฎีกาของจำเลย ฉะนั้น ฎีกาของจำเลยจึงไม่เป็นสาระแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัย.

ย่อยาว

คดีนี้ เดิมโจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยออกจากที่พิพาทที่โจทก์ซื้อมาจากการขายทอดตลาดของศาล ได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันว่าจำเลยตกลงออกจากที่พิพาทศาลพิพากษาตามยอม คดีถึงที่สุดและจำเลยทราบคำบังคับแล้ว ต่อมาโจทก์ยื่นคำร้องต่อศาลชั้นต้นว่าจำเลยบุกรุกเข้าไปในที่พิพาทขอให้ศาลบังคับจำเลย ศาลหมายเรียกจำเลยมาสอบถามโจทก์จำเลยแถลงรับกันว่าที่ดินที่จำเลยเข้าไปเกี่ยวข้องอีกภายหลังที่ยอมความกันแล้วนั้น เป็นที่แปลงเดียวกันกับที่ดินที่โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยคดีนี้ โจทก์จำเลยไม่ติดใจสืบพยานศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าการกระทำของจำเลยเป็นการจงใจและไม่ปฏิบัติตามหมายบังคับคดีของศาลมีคำสั่งให้จำเลยออกจากที่พิพาทภายใน ๑๕ วัน
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า ข้อเท็จจริงได้ความว่าที่ดินพิพาทตามที่โจทก์ยื่นคำร้องว่าจำเลยได้บุกรุกเข้าไปปลูกพืชพันธุ์และขอให้ศาลบังคับจำเลยให้ออกไปนั้น เป็นที่ดินส่วนหนึ่งของที่ดินที่โจทก์จำเลยทำสัญญาประนีประนอมยอมความออกไปและจะไม่เกี่ยวข้องอีกต่อไปซึ่งศาลได้พิพากษาคดีไปตามสัญญาประนีประนอมยอมความนั้นจนคดีถึงที่สุดแล้ว ดังนั้นการดำเนินการพิจารณาตามคำร้องของโจทก์จึงเป็นเรื่องในชั้นบังคับคดี และมีปัญหาเพียงว่าจำเลยได้ปฏิบัติถูกต้องตามคำพิพากษาหรือไม่เท่านั้น ไม่มีปัญหาต้องวินิจฉัยไปถึงว่า โจทก์มีสิทธิครอบครองที่พิพาทอีกหรือไม่ดังข้อฎีกาของจำเลยฉะนั้น ฎีกาของจำเลยจึงไม่เป็นสาระแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัยต่อไป
พิพากษาให้ยกฎีกาจำเลย.

Share