แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ที่งอกริมตลิ่งตกเป็นของเจ้าของที่ดินริมตลิ่งที่เกิดที่งอก
เจ้าของที่ดินตามโฉนดที่เกิดที่งอก อาจยกที่ดินตามโฉนดให้โดยสงวนสิทธิในที่งอกไว้ก็ได้
ย่อยาว
คดีนี้โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 5370 ตำบลบางเสด็จ อำเภอป่าโมกข์ จังหวัดอ่างทองในโฉนดมีชื่อนายหมุ่ย นางแวนถือกรรมสิทธิ์รวมอยู่ด้วย แต่โจทก์กับนายหมุ่ยนางแวนได้แบ่งปันกันครอบครองมีเขตคันแล้ว คือของนายหมุ่ยอยู่ทางใต้ ของนางแวนอยู่ทางเหนือ ของโจทก์อยู่ตรงกลางมีความกว้างคนละประมาณ 10 วา ยาวจดลำน้ำเจ้าพระยา ที่ดินส่วนของโจทก์มีที่งอกต่อหน้าโฉนดโจทก์ได้ปลูกเรือนอยู่ในที่งอกและใช้สิทธิครอบครองเป็นเจ้าของมา เมื่อ 3 ปีมาแล้ว จำเลยซึ่งเป็นพี่ชายของโจทก์ได้มาขออาศัยโจทก์ปลูกเรือนอยู่ในที่ในโฉนดและที่งอกต่อหน้าโฉนดทางหลังเรือนโจทก์ โดยกว้างประมาณ 8 วายาว 8 วา ต่อมาใน พ.ศ. 2493 จำเลยแสดงอำนาจเป็นปรปักษ์กับโจทก์จะเอาที่ดินของโจทก์ และใช้อำนาจตัดฟันต้นผลไม้ต่าง ๆ ในที่ดินของโจทก์ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย โจทก์ไม่ประสงค์จะให้จำเลยอาศัยที่ดินของโจทก์ต่อไป จึงขอให้ขับไล่จำเลยกับบริวารออกไปให้พ้นจากที่ดินในโฉนดที่ 5370 กับที่ดินที่งอกต่อจากโฉนดนี้อันเป็นของโจทก์
จำเลยให้การต่อสู้ว่า ที่ดินที่โจทก์ฟ้องจะเป็นที่ดินต่อจากโฉนดของโจทก์หรือไม่ ๆ ทราบ แต่ที่ดินแปลงนี้ นางสีมารดาโจทก์จำเลยครอบครองมา 30-40 ปีแล้ว โดยมีเขตคันเป็นส่วนสัดเมื่อ 6 ปีมานี้จำเลยได้อพยพมาปลูกเรือนอยู่ในที่ดินของนางสีมารดา ครั้นเดือนกรกฎาคม 2493 นางสีมารดาได้ขายที่ดินส่วนของตนที่ยังเหลืออยู่เป็นเนื้อที่ 1 งานให้แก่จำเลย และขายให้นางยวง 40 ตารางวา ได้ทำสัญญาซื้อขายกันต่อกรมการอำเภอป่าโมกข์เป็นหลักฐาน เมื่อจำเลยซื้อแล้วจึงรื้อเรือนที่ปลูกไว้เดิมเพื่อนำไปปลูกในที่ดินที่จำเลยซื้อจากนางสีมารดาโจทก์หามีสิทธิในที่ดินแปลงนี้อย่างใดไม่ ทั้งจำเลยมิได้อาศัยโจทก์ อนึ่ง จำเลยได้ขอให้การเพิ่มเติมว่า ที่ดินรายพิพาทนี้นางสีได้ครอบครองมา 30-40 ปีแล้วนับว่านางสีได้กรรมสิทธิ์ในทางครอบครองเมื่อนางสีขายให้จำเลยถึงแม้ศาลจะฟังว่าที่ดินพิพาทเป็นที่ในโฉนดของโจทก์จำเลยก็ย่อมได้กรรมสิทธิ์เพราะจำเลยได้ซื้อจากนางสี และได้ครอบครองสืบต่อจากนางสีมา
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วฟังว่า ที่พิพาทเป็นที่อยู่ในโฉนดโจทก์บ้างอยู่นอกโฉนดบ้าง และเชื่อว่านางสีได้ขายที่ทั้งหมดให้จำเลยจริง แต่เห็นว่าสำหรับที่ ๆ อยู่ในโฉนดซึ่งมีชื่อโจทก์เป็นเจ้าของนั้น การซื้อขายของนางสีและจำเลยใช้ไม่ได้ ส่วนที่นอกโฉนดนั้นเป็นที่ดินมือเปล่าเชื่อว่าโจทก์ได้ครอบครองอยู่รวมกับที่ในโฉนดตั้งแต่นางสียกให้โจทก์แล้ว การที่นางสีเอาที่ตอนนี้ซึ่งนางสีสละการครอบครองแล้วไปขายให้จำเลยโดยโจทก์มิได้รู้เห็นยินยอมจึงไม่มีผลเช่นเดียวกัน โจทก์มีสิทธิฟ้องขับไล่จำเลยได้ จึงพิพากษาให้ขับไล่จำเลยและบริวารออกจากที่รายพิพาทอย่ามาเกี่ยวข้องต่อไป ให้จำเลยใช้ค่าธรรมเนียมกับค่าทนาย 60 บาท แทนโจทก์
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์เห็นว่า ที่พิพาทนอกโฉนดนั้นนางสีไม่ได้สละการครอบครอง ทั้งนางสียังได้ทำสัญญาขายให้จำเลยแล้ว โจทก์ไม่มีสิทธิจะฟ้องขับไล่จำเลยได้ ส่วนที่พิพาทที่ล้ำเข้าไปในโฉนดของโจทก์นั้นจำเลยเพิ่งครอบครองมาได้ไม่กี่เดือนก็เกิดฟ้องร้องกันจำเลยจึงไม่มีทางจะโต้แย้งเอาที่ตอนนี้เป็นของตนได้ โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยให้ออกไปจากที่ตอนนี้ได้ จึงพิพากษาแก้ว่า ให้ขับไล่จำเลยและบริวารให้ออกไปให้พ้นที่พิพาทเฉพาะตอนที่ล้ำเข้าไปอยู่ในโฉนดของโจทก์ตามที่ปรากฏตามแผนที่วิวาท ค่าธรรมเนียมทั้ง 2 ศาลให้เป็นพับไป
โจทก์ฎีกาว่า ที่งอกหน้าที่ดินโฉนดของโจทก์ต้องตกเป็นของโจทก์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1308 จำเลยจะยกเอาการซื้อขายหรือการครอบครองมาหักล้างไม่ได้
ศาลฎีกาได้ประชุมปรึกษาคดีนี้แล้ว ข้อเท็จจริงคงฟังได้ว่าที่ ๆ โจทก์ฟ้องนี้บางตอนเป็นที่ดินอยู่ในเขตโฉนดที่ 5370 บางตอนเป็นที่ดินอยู่นอกโฉนดที่กล่าวนี้ แต่เป็นที่งอกอยู่ติดต่อกับที่ในโฉนดที่ดินตามโฉนดที่ 5370 นั้น เดิมเป็นของนางสีมารดาโจทก์จำเลยถือกรรมสิทธิ์รวมอยู่กับผู้อื่น ต่อมา พ.ศ. 2490 นางสีได้โอนที่ตามโฉนดยกให้แก่โจทก์ ต่อมา พ.ศ. 2493 นางสีได้ขายที่งอกนอกโฉนดให้จำเลย 1 งาน ให้นางยวง 40 ตารางวา ได้ทำสัญญากันที่อำเภอป่าโมกข์ ก่อนทำสัญญาซื้อขาย จำเลยได้นำนายจำเนียรปลัดอำเภอมาทำการรังวัดเขตที่ ๆ จะซื้อขายกัน โจทก์มาคัดค้านว่ารังวัดที่เข้าไปในโฉนดของโจทก์ นายจำเนียรขอให้โจทก์ชี้ว่าเขตโฉนดของโจทก์อยู่เพียงไหนโจทก์บอกว่าชี้ไม่ได้ เพราะเป็นที่ ๆ นางสีเพิ่งยกให้โจทก์ นายจำเนียรบอกว่าให้โจทก์กับนางสีตกลงกันว่าจะให้วัดถึงเพียงไหน โจทก์ว่าแล้วแต่นางสี ๆ ชี้ถึงตรงไหนก็เอาเพียงตรงนั้น นายจำเนียรจึงให้นางสีนำรังวัดโจทก์ไม่คัดค้านการที่นางสีนำรังวัดอย่างใด ต่อมากรมการอำเภอจึงทำสัญญาซื้อขายให้จำเลยกับนางสีตามที่รังวัดมา
ได้ความดังนี้ ศาลฎีกาเห็นว่า ที่พิพาทเฉพาะตอนที่ปรากฏว่าอยู่ในเขตโฉนดของโจทก์นั้น แม้โจทก์จะได้ยอมให้นางสีนำรังวัดขายให้จำเลย เพราะโจทก์ไม่รู้เขตโฉนดก็ดี แต่การซื้อขายของจำเลยเพิ่งมีมาไม่กี่เดือนก็ฟ้องกัน จำเลยเพิ่งครอบครองมาเมื่อซื้อจำเลยจึงยังไม่ได้กรรมสิทธิ์ เฉพาะที่ตอนอยู่ในโฉนดของโจทก์ ๆ มีสิทธิฟ้องขับไล่จำเลยได้ส่วนที่นอกโฉนดนั้นแม้ว่าเป็นที่งอกริมตลิ่งซึ่งย่อมตกเป็นของเจ้าของที่ดินในโฉนดนั้นตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1308 ก็ดีแต่ที่งอกนี้มีอยู่ตั้งแต่ครั้งยังเป็นของนางสี มิใช่เพิ่งงอกขึ้นตอนที่ตกมาเป็นของโจทก์แล้ว ที่งอกนี้จึงเป็นของนางสีมาแต่เดิม การที่นางสียกที่ในโฉนดให้โจทก์นั้นที่งอกจึงไม่จำต้องตกเป็นของโจทก์ด้วย เพราะนางสีจะสงวนที่นอกโฉนดไว้เป็นของตน คงให้โจทก์เฉพาะที่ ๆ อยู่ในโฉนดก็ย่อมทำได้และตามพฤติการณ์ที่ปรากฏในคดีนี้ คือหลังจากยกที่ในโฉนดให้โจทก์แล้ว นางสีก็ยังคงครอบครองปลูกเรือนอยู่ในที่งอกนั้น แล้วต่อมานางสีได้ขายที่นอกโฉนดให้จำเลยและนางยวงเจ้าหน้าที่ได้มาทำการรังวัด โจทก์ไม่ได้คัดค้านการที่นางสีจะขายที่ ๆ อยู่นอกโฉนด คงคัดค้านแต่เพียงไม่ให้วัดเข้าไปในโฉนดของโจทก์เท่านั้น พฤติการณ์จึงชี้ว่านางสีมิได้ยกที่งอกนอกโฉนดให้โจทก์และโจทก์ก็ทราบว่านางสีได้ยกที่เฉพาะในโฉนดให้โจทก์เท่านั้นโจทก์จึงไม่มีสิทธิที่ฟ้องขับไล่จำเลยให้ออกจากที่นอกโฉนดของโจทก์ได้ ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามาชอบแล้ว ฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น
จึงพิพากษายืน ให้ยกฎีกาโจทก์ ให้โจทก์ใช้ค่าทนายชั้นฎีกาแทนจำเลย 25 บาท