แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ
ย่อสั้น
ภายหลังการยึดทรัพย์และประกาศขายทอดตลาดหลายครั้งราคาที่ดินซึ่งถูกยึดเพื่อขายทอดตลาดทั้งสามแปลงมีมูลค่าเพิ่มขึ้น แม้ พ. จะเป็นผู้ประมูลได้โดยเสนอราคาสูงกว่าราคาประเมินของเจ้าพนักงานบังคับคดีก็ตาม แต่เมื่อที่ดินทั้งสามแปลงดังกล่าวไม่ได้อยู่ติดต่อเป็นผืนเดียวกันและผู้คัดค้านไม่ได้มีเจตนาที่จะขายทรัพย์สินเหล่านั้นรวมกันมาตั้งแต่ต้น การที่ผู้คัดค้านอนุญาตให้ขายที่ดินทั้งสามแปลงรวมกันไปตามคำร้องขอของ พ. ผู้เข้าสู้ราคาเพียงรายเดียวนั้น จึงเป็นเหตุให้ขายได้ในราคาต่ำกว่าราคาที่แท้จริง ดังนั้นการขายทอดตลาดดังกล่าวจึงไม่ชอบด้วยความมุ่งหมายแห่งการขายทอดตลาดเพื่อประโยชน์แก่เจ้าหนี้ ลูกหนี้ หรือบุคคลผู้มีส่วนได้เสียตาม พ.ร.บ.ล้มละลายฯ มาตรา 123
ย่อยาว
คดีสืบเนื่องมาจากโจทก์ฟ้องขอให้จำเลยทั้งสามล้มละลาย ต่อมาได้พิพากษาให้จำเลยที่ 1 และที่ 2 ล้มละลาย เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ผู้คัดค้านได้ขายทอดตลาดที่ดินของจำเลยที่ 2 รวม 3 แปลง โดยขายรวมกันไปในราคา 1,271,000 บาท
จำเลยที่ 2 ยื่นคำร้องว่า ผู้คัดค้านขายทอดตลาดที่ดินของจำเลยที่ 2 ให้แก่ผู้เข้าสู้ราคาเพียงรายเดียวในราคา 1,271,000 บาท เป็นการประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงเนื่องจากที่ดินทั้งสามแปลงไม่ได้อยู่ติดเป็นผืนเดียวกัน หากแยกขายจะได้ราคาสูงกว่า นอกจากนั้นราคาประเมินที่ดินแตกต่างจากราคาที่ผู้คัดค้านขายเป็นเงินถึง 3,248,000 บาท ทำให้จำเลยที่ 2 ได้รับความเสียหาย ขอให้ศาลมีคำสั่งยกเลิกการขายทอดตลาดดังกล่าวและมีคำสั่งให้ผู้คัดค้านขายทอดตลาดใหม่
ผู้คัดค้านยื่นคำคัดค้านว่า ในการขายทอดตลาดที่ดินครั้งที่ 8 มีผู้สนใจเข้าฟังการขายประมาณ 15 คน และมีเจ้าหนี้รายที่ 5 ซึ่งเป็นผู้รับจำนองที่ดินทั้งสามแปลงดังกล่าวมาดูแลการขาย ส่วนจำเลยที่ 2 ไม่มา ปรากฏว่ามีนายพรชัย สุรเกียรติชัยลงชื่อสู้ราคาเพียงรายเดียวและขอให้ขายที่ดินสามแปลงรวมกันไป โดยเสนอราคา 1,271,000 บาท ผู้คัดค้านสอบถามเจ้าหนี้รายที่ 5 แล้วไม่คัดค้านจึงเคาะไม้ขายไปในราคาดังกล่าว ส่วนราคาประเมินของเจ้าพนักงานที่ดินเป็นเพียงราคาประเมินทุนทรัพย์เพื่อเรียกเก็บค่าธรรมเนียมในการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมเกี่ยวกับที่ดินเท่านั้น ราคาที่ดินจะสูงหรือต่ำขึ้นอยู่กับสภาพที่ดิน ทำเลที่ตั้งและความต้องการอื่นๆ ประกอบกัน ขอให้ยกคำร้อง
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้เพิกถอนการขายทอดตลาดที่ดินทั้งสามแปลง ให้ผู้คัดค้านขายทอดตลาดใหม่
ผู้คัดค้านอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษายืน
ผู้คัดค้านฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีล้มละลายวินิจฉัยว่า “…ปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของผู้คัดค้านว่าการขายทอดตลาดทรัพย์ดังกล่าวเป็นการขายโดยชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เห็นว่าเรื่องขายทอดตลาดทรัพย์เพื่อนำเงินที่ขายได้มาชำระหนี้ให้เจ้าหนี้นี้มีข้อที่จะต้องพิจารณาว่าราคาทรัพย์ที่แท้จริงประมาณเท่าใด และสมควรจะขายได้แล้วหรือไม่ เรื่องราคาทรัพย์นั้น เจ้าพนักงานบังคับคดีได้ประเมินราคาไว้ขณะทำการยึดเมื่อปี 2528 ว่า ที่ดินโฉนดเลขที่ 5019 ตำบลท่าเรือ อำเภอท่ามะกา จังหวัดกาญจนบุรี ที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3) เลขที่ 62 และเลขที่ 49 หมู่ที่ 4 ตำบลท่าเรือ อำเภอท่ามะกา จังหวัดกาญจนบุรี รวม 3 แปลง ราคา 500,000 บาท 50,000 บาท และ 120,000 บาท ตามลำดับ ซึ่งผู้แทนเจ้าหนี้ที่นำยึดก็เห็นด้วยในราคานี้ แต่ได้ความจากคำนายกิตติ อ้นปัน พยานของจำเลยที่ 2 ว่า จากการไปตรวจสอบราคาประเมินที่ดินที่สำนักงานที่ดินจังหวัดกาญจนบุรีแล้ว พบว่าที่ดินโฉนดเลขที่ 5019 มี ราคาประเมินไร่ละ 4,000,000 บาท ที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3) เลขที่ 62 มีราคาประเมินไร่ละ 600,000 บาท และที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3) เลขที่ 49 มีราคาประเมินไร่ละ 2,400,000 บาท ตามบัญชีกำหนดราคาประเมินทุนทรัพย์เอกสารหมาย ร.2 และ ร.3 ซึ่งมีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2539 อันเป็นระยะเวลาภายหลังจากยึดทรัพย์และมีการประกาศขายทอดตลาดมาหลายครั้งแล้ว แสดงให้เห็นว่าราคาที่ดินมีมูลค่าเพิ่มขึ้น แม้นายพรชัยจะเป็นผู้ประมูลได้โดยเสนอราคาสูงกว่าราคาประเมินของเจ้าพนักงานบังคับคดีก็ตามแต่เมื่อที่ดินทั้งสามแปลงดังกล่าวไม่ได้อยู่ติดต่อเป็นผืนเดียวกันและผู้คัดค้านไม่ได้มีเจตนาที่จะขายทรัพย์สินเหล่านั้นรวมกันมาตั้งแต่ต้น การที่ผู้คัดค้านอนุญาตให้ขายที่ดินทั้งสามแปลงรวมกันไปตามคำร้องขอของนายพรชัยผู้เข้าสู้ราคาเพียงรายเดียวนั้นจึงเป็นเหตุให้ขายได้ในราคาต่ำกว่าราคาที่แท้จริง ดังนั้น การขายทอดตลาดดังกล่าวจึงไม่ชอบด้วยความมุ่งหมายแห่งการขายทอดตลาดเพื่อประโยชน์แก่เจ้าหนี้ ลูกหนี้หรือบุคคลผู้มีส่วนได้เสียตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ.2483 มาตรา 123 โดยไม่จำต้องวินิจฉัยในปัญหาข้ออื่นอีก ที่ศาลล่างทั้งสองมีคำสั่งและคำพิพากษามานั้นต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาของผู้คัดค้านฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน