คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3136/2536

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องขอให้แสดงว่าที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์และห้ามจำเลยทั้งสองและบริวารเข้าเกี่ยวข้อง เมื่อจำเลยทั้งสองให้การต่อสู้ว่าที่ดินพิพาทมิใช่ที่ดินของจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 1 ไม่มีอำนาจหน้าที่เข้าไปดูแล เช่นนี้ถือได้ว่าจำเลยที่ 1 ไม่ได้โต้แย้งสิทธิในที่ดินพิพาทโดยตรง ทั้งกฎหมายได้ให้อำนาจกระทรวงการคลังเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ที่ราชพัสดุและมีหน้าที่ในกิจการเกี่ยวกับที่ราชพัสดุ จำเลยที่ 1 จึงเป็นเพียงผู้ทำการแทนหรือตัวแทนกระทรวงการคลังเท่านั้น เมื่อโจทก์มิได้ฟ้องกระทรวงการคลังเป็นจำเลยด้วยคำขอท้ายฟ้องของโจทก์ จึงไม่อาจผูกพันกระทรวงการคลังผู้เป็นเจ้าของสิทธิในที่ดินพิพาทได้ โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยที่ 1 ส่วนจำเลยที่ 2 เป็นข้าราชการกระทำการตามอำนาจหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายจากจำเลยที่ 1 ก็ไม่ต้องรับผิดเช่นกัน

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 2 ซึ่งดำรงตำแหน่งเจ้าหน้าที่ราชพัสดุจังหวัดกระบี่ และเป็นผู้แทนของจำเลยที่ 1 ได้นำพนักงานเจ้าหน้าที่ราชพัสดุจังหวัดกระบี่ทำการบุกรุกนำหมุดหลักเขตเข้าไปปักในที่ดินโจทก์ เนื้อที่ประมาณ 10 ไร่เศษ โดยอ้างว่าเป็นที่ดินราชพัสดุเป็นการกระทำโดยละเมิดซึ่งจำเลยที่ 1 ต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 2ขอให้พิพากษาว่าที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์ ห้ามจำเลยทั้งสองและบริวารเข้าเกี่ยวข้อง
จำเลยทั้งสองให้การว่า ที่ดินพิพาทตามฟ้องเป็นที่ดินราชพัสดุใช้ประโยชน์เป็นที่ตั้งโรงเรียนบ้านพรุดินนา มิใช่ที่ดินของโจทก์และจำเลยที่ 1 แต่เป็นของกระทรวงการคลัง จำเลยที่ 1 จึงไม่มีอำนาจหน้าที่เข้าไปปกครองดูแลรักษาและไม่อาจรับผิดตามฟ้องได้ การกระทำของจำเลยที่ 2 ไม่เป็นละเมิด เพราะจำเลยที่ 2 เป็นผู้แทนของจำเลยที่ 1 ซึ่งปฏิบัติราชการตามอำนาจหน้าที่ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า ที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์ห้ามจำเลยทั้งสองและบริวารเข้ามาเกี่ยวข้องต่อไป
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษากลับให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์มีว่า โจทก์มีอำนาจฟ้องหรือไม่ ปัญหานี้จำเลยทั้งสองต่อสู้ว่าที่ดินพิพาทมิใช่ที่ดินของจำเลยที่ 1 แต่เป็นของกระทรวงการคลังจำเลยที่ 1 ไม่มีอำนาจหน้าที่เข้าไปปกครองดูแล เห็นว่า โจทก์จำเลยทั้งสองพิพาทกันเกี่ยวกับความเป็นเจ้าของสิทธิในที่ดินพิพาทเมื่อจำเลยทั้งสองต่อสู้ว่าที่ดินพิพาทมิใช่ที่ดินของจำเลยที่ 1และจำเลยที่ 1 ไม่มีอำนาจหน้าที่เข้าไปดูแล ถือได้ว่าจำเลยที่ 1ไม่ได้โต้แย้งสิทธิในที่ดินพิพาทโดยตรงตามพระราชบัญญัติที่ราชพัสดุพ.ศ. 2518 มาตรา 5 บัญญัติให้กระทรวงการคลังเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ที่ราชพัสดุ และตามพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่ 216 ลงวันที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2515 (ฉบับที่ 11) พ.ศ.2518 ข้อ 9 บัญญัติว่า กระทรวงการคลังมีอำนาจหน้าที่ในกิจการเกี่ยวกับที่ราชพัสดุ เห็นว่า กฎหมายบัญญัติให้กระทรวงการคลังเป็นผู้มีอำนาจหน้าที่ในกิจการเกี่ยวกับที่ราชพัสดุโดยตรง จำเลยที่ 1 จึงเป็นเพียงผู้ทำการแทนหรือตัวแทนกระทรวงการคลังเท่านั้นนอกจากนั้นคำขอท้ายฟ้องของโจทก์ก็ไม่ผูกพันกระทรวงการคลังผู้เป็นเจ้าของสิทธิในที่ดินพิพาทเพราะไม่ได้เข้ามาเป็นจำเลย โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยที่ 1 ส่วนจำเลยที่ 2 เป็นข้าราชการกระทำการตามอำนาจหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายจากจำเลยที่ 1 ก็ไม่ต้องรับผิดเช่นกัน ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษาชอบแล้ว ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้นคดีไม่จำต้องวินิจฉัยในประเด็นอื่นอีก”
พิพากษายืน

Share