คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1354/2505

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

พนักงานสอบสวนยึดเรือของกลางไว้เกี่ยวกับคดีอาญาเพื่อดำเนินการสอบสวย โดยสมควรภายในกรอบอำนาจตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 132 ย่อมไม่เป็นละเมิด

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของเรือยนต์ ชื่อ “อร้ามนาวา ๒” เมื่อวันที่ ๒๑ พฤศจิกายน ๒๔๙๘ จำเลยที่ ๑ สั่งให้โจทก์นำเรือยนต์ดังกล่าวมาจอดหน้าสถานีตำรวจจังหวัดนนทบุรี เพื่อจะตรวจเรือประกอบคดีที่นายแป๊ะกล่าวหาว่านายพื้นลักเรือ โจทก์คัดค้าน จำเลยยืนยันคำสั่งเดิมและกลับมีคำสั่งอายัดเรือไว้เพื่อสอบสวนโดยไม่มีกำหนดเวลา โดยอ้างว่าโจทก์กับนายแป๊ะเถียงกรรมสิทธิ์กัน โจทก์ร้องเรียนต่อจำเลยให้ปล่อยเรือ จำเลยก็เพิกเฉย การกระทำของจำเลยที่ ๑ เป็นการไม่สุจริตและไม่ชอบกฎหมาย จำเลยที่ ๒ ต้องรับผิดในฐานะเป็นนายจ้าง โจทก์ขาดประโยชน์ที่จะได้จากการใช้เรือวันละ ๓๐๐ บาท จึงขอให้จำเลยเพิกถอนคำสั่งอายัดเรือของโจทก์ และใช้ค่าเสียหาย
จำเลยให้การว่า จำเลยที่ ๑ ในฐานะเป็นผู้สอบสวนคดีที่นายแป๊ะหาว่านายพื้นลักเรือ ได้ขอเรือยนต์ลำนี้จากนายอำเภอกรุงเก่ามาเป็นของกลางเพื่อให้พยานดูว่าเรือเป็นของนายแป๊ะที่ถูกลักไปจริงหรือไม่และยึดเรือไว้ พยานและนายแป๊ะดูแล้วยืนยันว่าเป็นเรือของนายแป๊ะ เมื่อสอบสวนแล้ว จำเลยที่ ๑ มีหนังสือให้นายอำเภอกรุงเก่ามารับเรือคืน จำเลยกระทำไปชอบด้วยกฎหมายและในวงเขตอำนาจที่พนักงานสอบสวนจะทำได้ โจทก์ไม่มีสิทธิขอคืนเรือและโจทก์ไม่เสียหาย
ศาลจังหวัดนนทบุรีพิจารณาแล้ว ฟังว่าจำเลยที่ ๑ กระทำไปตามขอบเขตอำนาจหน้าที่ของพนักงานสอบสวน และปฏิบัติการไปตามลำดับไม่มีการประวิงให้ชักช้า ไม่มีอะไรส่อให้เห็นว่าเป็นการกลั่นแกล้ง จึงไม่เป็นการละเมิด พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาพิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงได้ความว่า เดิมนายแป๊ะได้นำเรือยนต์ชื่อ “ริกาลิ้นทอง” ไปจ้างนายบุญส่งซ่อม ทำเสร็จแล้วนายพื้นบุตรของนายแป๊ะมาเอาเรือไป นายแป๊ะจึงแจ้งตำรวจนนทบุรีหาว่านายพื้นลักเรือ ต่อมาปีเศษนายแป๊ะตามพบเรือที่คานเรือ นายโตเขตอำเภอกรุงเก่า ชื่อเรือ “อร่ามนาวา ๒” ซึ่งโจทก์เป็นผู้นำไปซ่อม จำได้ว่าเป็นของตน จึงแจ้งตำรวจอยุธยาว่าโจทก์รับของโจร เมื่อนายแป๊ะตามพบเรือแล้วก็ไปแจ้งจำเลยที่ ๑ ซึ่งเป็นนายอำเภอเมืองนนทบุรี ขอให้ดำเนินคดีกับนายพื้น จำเลยที่ ๑ ได้มีหนังสือถึงนายอำเภอเมืองกรุงเก่าขอให้ส่งเรือมาพิสูจน์ เมื่อพยานดูเรือแล้วยืนยันว่าเป็นของนายแป๊ะที่หายไปจริง จำเลยที่ ๑ จึงสั่งยึดเรือของกลางไว้สอบสวน ๆ แล้วส่งเรื่องให้อัยการ ๆ มีหนังสือให้จำเลยที่ ๑ สอบสวนเพิ่มเติมอีกหลายข้อ ผลสุดท้ายฟ้องศาล ศาลยกฟ้องเพราะคดีกรณีนี้ไม่เป็นความผิดฐานลักทรัพย์ ทางอำเภอเมืองกรุงเก่าเคยขอคืนเรือของกลางเพื่อดำเนินคดี จำเลยที่ ๑ ตอบไม่ขัดข้อง แต่ขัดข้องที่จะนำเรือไปเพราะเจ้าของเรือนำส่วนประกอบของเรือไปบางส่วนไม่สามารถติดเครื่องเดินได้ ตามข้อเท็จจริงดังกล่าว ศาลฎีกาเห็นว่า
เรือรายนี้เป็นของกลางสำคัญในคดีอาญาที่จำเลยที่ ๑ ดำเนินการสอบสวน ซึ่งถ้าหากส่งมอบเรือของกลางให้โจทก์ไปเสียก่อนแล้ว จำเลยที่ ๑ จะต้องยุ่งยากในการที่จะต้องปฏิบัติการสอบสวนเพิ่มเติมตามความต้องการของพนักงานอัยการ ตามเอกสารทางราชการที่จำเลยที่ ๑ ที่ยึดเรือรายนี้ไว้ก็ดี ล้วนแต่แถลงว่า จำเลยที่ ๑ เจรจากับฝ่ายโจทก์ด้วยดี ไม่มีอะไรจะส่อแสดงไปในทางมีอารมณ์วู่วามหรือโกรธเกลียดโจทก์ หรือแกล้งหน่วงเหนี่ยวไว้ แต่กลับปรากฏว่า จำเลยที่ ๑ มีความหนักใจในการที่ส่งคืนเรือของกลาง ตามพฤติการณ์แวดล้อม แสดงว่าจำเลยที่ ๑ ยึดเรือไว้เกี่ยวกับคดีอาญาที่จำเลยที่ ๑ ดำเนินการสอบสวน เป็นการกระทำได้ภายในกรอบอำนาจของพนักงานสอบสวนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๑๓๒ จึงไม่เป็นละเมิดต่อโจทก์
พิพากษายืน

Share