คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3133/2529

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ผู้เป็นหุ้นส่วนของห้างหุ้นส่วนสามัญไม่จดทะเบียน ย่อมตกลงกันให้แบ่งเงินของห้างหุ้นส่วนเมื่อใดก็ได้ ทำนองเดียวกับเจ้าของรวมตกลงแบ่งทรัพย์กันนั่นเอง
จำเลยรับเงินส่วนแบ่งจำนวนหนึ่งมาจากศาลตามที่ศาลฎีกาพิพากษาให้แบ่งเงินค่าสินค้าของห้างหุ้นส่วนสามัญไม่จดทะเบียนอันเป็นกรรมสิทธิ์รวมให้แก่โจทก์ที่ 1 กับจำเลยผู้เป็นหุ้นส่วนโดยห้างหุ้นส่วนนั้นเลิกกันแล้วและอยู่ในระหว่างที่มีการชำระบัญชีห้างหุ้นส่วนอยู่ เงินส่วนที่แบ่งให้จำเลยก็ตกเป็นของจำเลย ผู้ชำระบัญชีหามีอำนาจที่จะเรียกร้องหรือเข้าเก็บรักษาเงินจำนวนนี้ โดยอ้างประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1259 ได้ไม่

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เดิมโจทก์ที่ ๑ ได้เข้าหุ้นกับจำเลยผลิตสินค้าออกจำหน่ายออกโดยมิได้จดทะเบียนห้างหุ้นส่วน ต่อมาศาลแพ่งได้มีคำพิพากษาถึงที่สุดให้เลิกห้างหุ้นส่วนระหว่างโจทก์ที่ ๑ กับจำเลย ตั้งโจทก์ที่ ๒ เป็นผู้ชำระบัญชี จำเลยได้ฟ้องโจทก์ที่ ๑ เป็นอีกคดีหนึ่งเกี่ยวกับเงินค่าสินค้าของห้างหุ้นส่วน ซึ่งศาลฎีกาพิพากษาให้โจทก์ที่ ๑ ชำระเงินส่วนของจำเลยครึ่งหนึ่งจำนวน ๒๓๙,๒๙๗ บาท ให้จำเลย จำเลยได้รับเงินจำนวนดังกล่าวไปจากศาลแล้ว ศาลฎีกามีคำพิพากษาคดีนี้ภายหลังที่ศาลแพ่งได้มีคำพิพากษาให้เลิกห้างหุ้นส่วนและตั้งผู้ชำระบัญชี การชำระบัญชีไม่เสร็จ ขอให้บังคับจำเลยชำระเงินจำนวน ๒๓๙,๒๙๗ บาท พร้อมดอกเบี้ยคืนโจทก์ที่ ๒
จำเลยให้การว่า โจทก์ที่ ๑ จะมอบอำนาจให้โจทก์ที่ ๒ ดำเนินคดีแทนหรือไม่ ไม่ทราบ จำเลยไม่ต้องคืนเงินจำนวนดังกล่าวแก่โจทก์ เพราะศาลฎีกาได้แบ่งเงินให้โจทก์และจำเลยคนละครึ่ง ได้แยกจากการเป็นหุ้นส่วนกันแล้ว ถือว่าเป็นการชำระหนี้โดยชอบ ผู้ชำระบัญชีไม่ต้องชำระบัญชีอีก
ศาลชั้นต้น มีคำสั่งให้งดสืบพยานแล้ววินิจฉัยว่า โจทก์ที่ ๒ มีอำนาจฟ้องคดีแทนโจทก์ที่ ๑ จำเลยได้รับเงินไปตามคำพิพากษาของศาลแม้ห้างหุ้นส่วนสามัญ ซึ่งโจทก์ที่ ๑และจำเลยเป็นหุ้นส่วนได้เลิกกัน และอยู่ในระหว่างชำระบัญชี แต่โจทก์แสดงไม่ได้ว่าจำเลยมีหน้าที่และความรับผิดที่จะต้องส่งเงินจำนวน ๒๓๙,๒๙๗ บาท คืนห้าง จำเลยจึงยังไม่ต้องส่งมอบเงินดังกล่าวให้แก่โจทก์ พิพากษายกฟ้อง
โจทก์ทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาพิเคราะห์แล้ว วินิจฉัยว่า เงินที่จำเลยรับมาจากศาลตามคำพิพากษาศาลฎีกานั้น แม้เดิมจะเป็นเงินของห้างหุ้นส่วนระหว่างโจทก์ที่ ๑ กับจำเลย แต่ห้างหุ้นส่วนดังกล่าวมิได้เป็นนิติบุคคล โดยแท้จริงแล้ว เงินดังกล่าวก็คือเงินของผู้เป็นหุ้นส่วน คือโจทก์ที่ ๑ และจำเลยร่วมกันนั่นเอง ผู้เป็นหุ้นสวนย่อมตกลงให้แบ่งเงินของห้างหุ้นส่วนเมื่อใดก็ได้ ทำนองเดียวกับเจ้าของรวมตกลงแบ่งทรัพย์กันนั่นเอง ที่จำเลยรับเงินจำนวนดังกล่าวมานั้นก็เนื่องมาจากศาลพิพากษาให้แบ่งเงินค่าสินค้าของห้างหุ้นส่วนอันเป็นกรรมสิทธิ์รวมให้แก่โจทก์ที่ ๑ และจำเลยผู้เป็นหุ้นส่วน เงินส่วนที่แบ่งให้จำเลย ก็ตกเป็นของจำเลยแล้ว หาใช่ยังคงเป้นเงินของห้างหุ้นส่วน อันจำเลยจะต้องส่งมอบให้ผู้ชำระบัญชีหรือเป็นเงินที่จะต้องแบ่งให้โจทก์ที่ ๑ อีกไม่ โจทก์ที่ ๒ในฐานะผู้ชำระบัญชี หามีอำนาจที่จะเรียกร้องหรือเข้าเก็บรักษาเงินจำนวนนี้ โดยอ้างประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๒๕๙ ดังที่โจทก์ฎีกาไม่ หากการชำระบัญชีเสร็จแล้ว โจทก์ที่ ๑ จะมีสิทธิเรียกร้องอะไรจากจำเลย ก็เป็นเรื่องที่โจทก์ที่ ๑ จะต้องไปเรียกร้องเอาตามสิทธินั้นต่อไป
พิพากษายืน

Share