แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยได้ทำหนังสือถึงโจทก์มีข้อความที่สำคัญว่าตามที่ทางราชการได้ทวงหนี้ค่าใช้จ่ายในการรับตัวลูกเรือจำนวน13คนซึ่งพ้นโทษจำคุกที่ประเทศสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียตนามกลับประเทศไทยนั้นจำเลยยินดีชดใช้แต่เนื่องจากเรือของจำเลยถูกประเทศดังกล่าวจับทำให้มีฐานะยากจนมีหนี้สินล้นพ้นตัวจึงขอผ่อนชำระเดือนละ1,000บาทเป็นเรื่องจำเลยซึ่งเป็นบุคคลภายนอกมิได้เป็นลูกหนี้ผูกพันตนเข้าชำระหนี้ให้โจทก์แม้จะไม่เป็นการแปลงหนี้ใหม่เพราะไม่ปรากฏว่าโจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ตกลงให้หนี้ของลูกเรือทั้ง13คนระงับไปแต่ก็เป็นสัญญาประเภทหนึ่งที่กระทำด้วยความสมัครใจเมื่อไม่ขัดต่อกฎหมายย่อมมีผลใช้บังคับได้ โจทก์ฟ้องโดยอาศัยหนังสือที่จำเลยมีถึงโจทก์เป็นหลักศาลชั้นต้นให้จำเลยรับผิดตามหนังสือดังกล่าวส่วนศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าเมื่อโจทก์ไม่ยอมให้จำเลยผ่อนชำระตามหนังสือดังกล่าวเท่ากับข้อเสนอของจำเลยตกไปโจทก์ฎีกาว่าข้อเสนอของจำเลยหาตกเป็นโมฆะทั้งหมดไม่ศาลฎีกาจึงมีอำนาจวินิจฉัยว่าหนังสือดังกล่าวเป็นสัญญาประเภทใดตามที่ถูกต้องแท้จริงได้ ข้อความเฉพาะส่วนที่ขอผ่อนชำระในหนังสือดังกล่าวเป็นเพียงข้อเสนอขึ้นใหม่ของจำเลยดังข้อความในเอกสารที่ว่าจึงเรียนมาเพื่อโปรดพิจารณาอนุเคราะห์ตามควรแก่กรณีต่อไปด้วยก็จะเป็นพระคุณอย่างสูงจึงมิใช่เงื่อนไขอันบังคับไว้ในสัญญาที่จำเลยยอมผูกพันตนเข้าชำระหนี้แก่โจทก์เป็นผลเมื่อมีเหตุการณ์อันใดอันหนึ่งเกิดขึ้นในอนาคตและไม่แน่นอนเมื่อโจทก์ไม่ตกลงในส่วนที่จำเลยขอผ่อนชำระดังกล่าวจำเลยจึงต้องรับผิดต่อโจทก์ตามสัญญา
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยเป็นเจ้าของเรือประมงพรหมนรินทร์ 11ได้ใช้หรืออนุญาตให้ลูกเรือเข้าไปทำการประมงในเขตน่านน้ำของประเทศสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียตนาม เป็นเหตุให้ลูกเรือจำนวน 13 คน ถูกเจ้าหน้าที่ของประเทศสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียตนามจับ ต่อมาคณะรัฐมนตรีอนุมัติค่าใช้สอยจากเงินงบกลางเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายชำระค่าปรับค่าพาหนะ และค่าใช้จ่ายในการรับลูกเรือเฉพาะของลูกเรือจำเลยโจทก์ทวงถามจำเลยในฐานะนายจ้างจำเลยมีหนังสือถึงโจทก์ยอมชำระหนี้จำนวนดังกล่าวแต่ขอผ่อนชำระเป็นรายเดือนเดือนละ1,000 บาท จำเลยไม่ได้รับอนุมัติจากกระทรวงการคลังให้ผ่อนชำระดังกล่าว ขอให้บังคับจำเลยชำระหนี้ 211,627.91 บาทแก่โจทก์พร้อมด้วยดอกเบี้ย
จำเลยให้การว่า จำเลยทำหนังสือเสนอชำระหนี้แก่โจทก์โดยมีข้อแม้ว่าจำเลยขอผ่อนชำระงวดละ 1,000 บาท ต่อเดือนต่อมาจำเลยได้รับแจ้งจากโจทก์ว่ากระทรวงการคลังไม่อนุมัติให้จำเลยผ่อนชำระ เมื่อโจทก์ไม่รับเงื่อนไขตามที่จำเลยเสนอจำเลยก็ไม่มีหน้าที่ต้องผูกพันต่อโจทก์ในการชำระหนี้ให้โจทก์อีกต่อไป ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้น พิพากษา ให้ จำเลย ชำระหนี้ 211,627.91 บาทพร้อม ด้วย ดอกเบี้ย
จำเลย อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ พิพากษากลับ ให้ยก ฟ้องโจทก์
โจทก์ ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า จำเลยทำหนังสือถึงอธิบดีกรมประมง(ผ่านผู้ว่าราชการจังหวัดชุมพร) มีข้อความที่สำคัญว่า ตามที่ทางราชการได้ทวงหนี้ค่าใช้จ่ายในการรับตัวลูกเรือประมงพรหมนรินทร์ 11 จำนวน 13 คน ซึ่งพ้นโทษจำคุกที่ประเทศสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียตนามกลับประเทศไทยเป็นเงินทั้งสิ้น 211,851.90 บาท นั้น จำเลยยินดีชดใช้แต่เนื่องจากเรือของจำเลยถูกประเทศสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียตนามจับทำให้จำเลยมีฐานะทายาทยากจนมีหนี้สินล้นพ้นตัว จึงขอผ่อนชำระหนี้แก่ทางราชการเดือนละ 1,000 บาท ตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2529เป็นต้นไป จึงเรียนมาเพื่อโปรดพิจารณาอนุเคราะห์ตามควรแก่กรณีต่อไปด้วยก็จะเป็นพระคุณอย่างสูง ดังนี้เป็นเรื่องจำเลยซึ่งเป็นบุคคลภายนอกมิได้เป็นลูกหนี้ผูกพันตนเข้าชำระหนี้ให้โจทก์แม้จะไม่เป็นการแปลงหนี้ใหม่ เพราะไม่ปรากฏว่าโจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ตกลงให้หนี้ของลูกเรือทั้ง 13 คนระงับไป แต่คดีนี้โจทก์ฟ้องขอให้บังคับให้จำเลยชำระหนี้โดยอาศัยหนังสือที่จำเลยมีถึงโจทก์ดังกล่าวตามเอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 3 (เอกสารหมาย จ.1)เป็นหลัก
การที่โจทก์ฎีกาว่า แม้โจทก์โดยกระทรวงการคลังจะไม่อนุมัติให้จำเลยผ่อนชำระตามหนังสือเอกสารดังกล่าวก็ใช้บังคับตามกฎหมายได้หาทำให้ข้อเสนอของจำเลยตกไปทั้งหมดไม่ จำเลยจึงต้องรับผิดชำระหนี้ตามฟ้องแก่โจทก์ทุกประการ จากข้อฎีกาของโจทก์ดังกล่าวศาลฎีกาจึงมีอำนาจวินิจฉัยว่า หนังสือดังกล่าวเป็นสัญญาประเภทใดตามที่ถูกต้องแท้จริงได้ เห็นว่า หนังสือดังกล่าวเป็นแต่เพียงจำเลยซึ่งเป็นบุคคลภายนอกผูกพันตนเข้าชำระหนี้ที่ลูกเรือทั้ง 13 คนที่ค้างชำระหนี้ให้โจทก์ จึงเป็นสัญญาประเภทหนึ่ง ซึ่งเมื่อโจทก์มีหนังสือทวงถามให้จำเลยชำระหนี้ จำเลยก็มีหนังสือยอมรับชำระหนี้จำนวนดังกล่าวแก่โจทก์จึงเป็นการกระทำด้วยความสมัครใจ เมื่อไม่ขัดต่อกฎหมายย่อมสมบูรณ์ใช้บังคับได้
ข้อความเฉพาะส่วนที่ขอผ่อนชำระในเอกสารหมาย จ.1เป็นเพียงข้อเสนอขึ้นใหม่ของจำเลยดังจะเห็นจากข้อความในเอกสารที่ว่า จึงเรียนมาเพื่อโปรดพิจารณาอนุเคราะห์ตามควรแก่กรณีต่อไปด้วยก็จะเป็นพระคุณอย่างสูง จึงมิใช่เป็นเงื่อนไขอันบังคับไว้ให้สัญญาที่จำเลยยอมผูกพันตนเข้าชำระหนี้ที่ลูกเรือทั้ง 13 คนที่ค้างชำระหนี้ให้แก่โจทก์เป็นผลต่อเมื่อมีเหตุการณ์อันใดอันหนึ่งขึ้นในอนาคตและไม่แน่นอนดังที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 144 เดิม (182 ใหม่)เมื่อโจทก์ไม่ตกลงในส่วนที่จำเลยขอผ่อนชำระดังกล่าว จำเลยจึงต้องรับผิดต่อโจทก์ตามสัญญา
พิพากษากลับ ให้ บังคับคดี ไป ตาม คำพิพากษา ศาลชั้นต้น