แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยที่ 1 ใช้มีดดาบปลายแหลมยาวประมาณ 1 แขนฟันศีรษะโจทก์ร่วม 2 ที โจทก์ร่วมยกแขนซ้ายขึ้นรับ คมมีดไม่ถูกศีรษะแต่ถูกหลังมือซ้ายระหว่างนิ้วหัวแม่มือกับโคนนิ้วกลางทำให้เอ็น ขาด และถูกแขนซ้ายท่อนบนมีบาดแผลกว้างครึ่งเซนติเมตร ยาว 2 เซนติเมตร เมื่อโจทก์ร่วมวิ่งหนีแล้วสะดุดล้มลง จำเลยทั้งสองวิ่งตามมา โจทก์ร่วมถูกฟันที่ศีรษะอีก 1 ที มีบาดแผลกว้างครึ่งเซนติเมตร ยาว 2 เซนติเมตรเมื่อ ส. จะเข้าช่วยก็ถูกจำเลยที่ 2 ผลักล้มคว่ำลง แล้วใช้ขวานหน้ากว้างประมาณ 3 นิ้ว ด้ามยาวประมาณ 1 ฟุต ฟันที่กกหูด้านซ้ายมีบาดแผลที่เหนือใบหู 1 แผล กว้าง 3 เซนติเมตร ยาว 8เซนติเมตร และที่หลังใบหูมีบาดแผลกว้าง 1 เซนติเมตร ยาว 3เซนติเมตร แม้มีดดาบของจำเลยที่ 1 กับขวานของจำเลยที่ 2 อาจใช้ทำร้ายบุคคลให้ถึงแก่ความตายได้ แต่ไม่ปรากฏว่าบาดแผลทุกแผลของโจทก์ร่วมกับ ส. ลึกเท่าใด กะโหลกศีรษะของบุคคลทั้งสองแตกหรือไม่เนื้อสมองได้รับอันตรายหรือไม่ โจทก์ร่วมรับการรักษาที่โรงพยาบาล 20 กว่าวันแล้วกลับไปรักษาตัวที่บ้านไม่ปรากฏว่ารักษานานเท่าใดส่วน ส. รับการรักษาที่โรงพยาบาล 4 วันแล้วกลับบ้านแต่ต้องมาทำแผลอีก 1 เดือนเศษ พิจารณาถึงบาดแผลของโจทก์ร่วมกับ ส. ทุกแผลแล้วเห็นได้ว่าจำเลยทั้งสองมิได้ฟันโจทก์ร่วมกับ ส. อย่างแรงนอกจากนี้เมื่อโจทก์ร่วมวิ่งหนีแล้วสะดุดล้มลงและถูกจำเลยคนหนึ่งฟันที่ศีรษะอีก 1 ที แล้วก็ไม่ฟันซ้ำอีกทั้งที่มีโอกาสจะฟันซ้ำได้พฤติการณ์เหล่านี้ฟังไม่ได้ว่าจำเลยทั้งสองมีเจตนาฆ่าโจทก์ร่วมกับ ส. คงมีเจตนาทำร้ายบุคคลทั้งสองเท่านั้น เมื่อโจทก์ร่วมกับ ส. ต้องป่วยเจ็บด้วยอาการทุกขเวทนาเกินกว่ายี่สิบวัน จำเลยทั้งสองจึงมีความผิดฐานทำร้ายร่างกายผู้อื่นจนเป็นเหตุให้ได้รับอันตรายสาหัส.
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยทั้งสองกับพวกที่หลบหนีร่วมกันใช้มีดและขวาน แทน ฟัน และตีนายสมพร ทาวิชาติ และนายปรีชา ทองนิตย์ โดยเจตนาฆ่า เป็นเหตุให้ผู้เสียหายทั้งสองได้รับอันตรายสาหัส ขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๘๘, ๘๐ และ ๘๓
จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นอนุญาตให้นายปรีชา ทองนิตย์ ผู้เสียหายเข้าร่วมเป็นโจทก์
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๘๘, ๘๓ จำคุกคนละ ๑๒ ปี
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่าจำเลยที่ ๑ ได้ใช้มีดดาบฟันโจทก์ร่วม จำเลยที่ ๒ ได้ใช้ขวานฟันนายสมพร ทาวิชาติ จริง และวินิจฉัยข้อกฎหมายว่า ในปัญหาว่าการกระทำของจำเลยทั้งสองเป็นความผิดฐานพยายามฆ่าผู้อื่นหรือไม่นั้น ปรากฏว่าที่ร้านนายล้วนจำเลยที่ ๑ ใช้มีดดาบปลายแหลมยาวประมาณ ๑ แขน ฟันศีรษะโจทก์ร่วม ๒ ที โจทก์ร่วมยกแขนซ้ายขึ้นรับทุกที ทำให้คมมีดไม่ถูกศีรษะแต่ถูกหลังมือซ้ายระหว่างนิ้วหัวแม่มือกับโคนนิ้วกลาง ทำให้เอ็นขาดและถูกแขนซ้ายท่อนบนทำให้มีบาดแผลกว้างครึ่งเซนติเมตร ยาว ๒ เซนติเมตร เมื่อโจทก์ร่วมวิ่งหนีออกจากร้านนายล้วนได้ประมาณ ๑๐ วา ก็สะดุดล้มลงจำเลยทั้งสองวิ่งตามมา โจทก์ร่วมถูกฟันที่ศีรษะอีก ๑ ที ทำให้มีบาดแผลกว้างครึ่งเซนติเมตร ยาวสองเซนติเมตร นายสมพรผู้เสียหายจะเข้าช่วยโจทก์ร่วมก็ถูกจำเลยที่ ๒ ผลักล้มคว่ำลง จำเลยที่ ๒ นั่งคร่อมแล้วใช้ขวานหน้ากว้างประมาณ ๓ นิ้ว ด้ามยาวประมาณ ๑ ฟุต ฟันนายสมพรผู้เสียหายที่กกหูด้ายซ้ายทำให้มีบาดแผลที่เหนือใบหู ๑ แผล กว้าง ๓ เซนติเมตร ยาว ๘ เซนติเมตร และที่หลังใบหูมีบาดแผลกว้าง ๑ เซนติเมตร ยาว ๓ เซนติเมตร แม้มีดดาบของจำเลยที่ ๑ กับขวานของจำเลยที่ ๒ อาจใช้ทำร้ายบุคคลให้ถึงแก่ความตายได้ แต่ในทางพิจารณาไม่ปรากฏว่าบาดแผลทุกแผลของโจทก์ร่วมกับนายสมพรผู้เสียหายลึกเท่าใด กะโหลกศีรษะของบุคคลทั้งสองแตกหรือไม่ เนื้อสมองได้รับอันตรายอย่างไรหรือไม่ เพราะโจทก์มิได้นำแพทย์ผู้รักษาบุคคลทั้งสองมาเบิกความ โจทก์ร่วมรับการรักษาที่โรงพยาบาล ๒๐ กว่าวัน แล้วกลับไปรักษาตัวที่บ้าน ไม่ปรากฏว่ารักษาที่บ้านนานเท่าใด นายสมพรผู้เสียหายรับการรักษาที่โรงพยาบาล ๔ วัน แล้วกลับบ้านแต่ต้องมาทำบาดแผลอีก ๑ เดือนเศษ เมื่อจำเลยที่ ๑ ใช้มีดดาบฟัน โจทก์ร่วมยกมือซ้ายขึ้นรับ คมมีดถูกหลังนิ้ว นิ้วไม่ขาด เพียงแต่เอ็นขาดเท่านั้น พิจารณาถึงบาดแผลของโจทก์ร่วมกับของนายสมพรผู้เสียหายทุกแผลแล้ว เห็นได้ว่าจำเลยทั้งสองมิได้ฟันโจทก์ร่วมกับนายสมพรผู้เสียหายอย่างร้ายแรง นอกจากนี้เมื่อโจทก์ร่วมวิ่งหนีออกจากร้านนายล้วนไปได้ประมาณ ๑๐ วา แล้วสะดุดล้มลง ก็ถูกจำเลยคนใดคนหนึ่งซึ่งทางพิจารณาไม่ได้ความชัดว่าเป็นจำเลยคนใดฟันที่ศีรษะอีก ๑ ที แล้วไม่ฟันซ้ำอีก ทั้งที่มีโอกาสจะฟันซ้ำได้ เพราะไม่มีผู้ใดขัดขวาง แต่จำเลยทั้งสองก็ไม่กระทำเช่นนั้น พฤติการณ์เหล่านี้ฟังไม่ได้ว่าจำเลยทั้งสองมีเจตนาฆ่าโจทก์ร่วมกับนายสมพรผู้เสียหาย คงมีเจตนาทำร้ายบุคคลทั้งสองเท่านั้น เมื่อโจทก์ร่วมกับนายสมพรผู้เสียหายต้องป่วยเจ็บด้วยอาการทุกข์เวทนาเกินกว่ายี่สิบวัน จำเลยทั้งสองจึงมีความผิดฐานทำร้ายร่างกายผู้อื่นจนเป็นเหตุให้ได้รับอันตรายสาหัส ไม่มีความผิดฐานพยายามฆ่าผู้อื่น
พิพากษากลับว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๙๗ (๘) จำคุกคนละ ๔ ปี