แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์เป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษา เป็นผู้มีส่วนได้เสียในการบังคับคดีตามคำพิพากษา มีสิทธิคัดค้านคำสั่งเจ้าพนักงานบังคับคดีที่ให้กันเงินจากการขายทอดตลาดไว้เป็นค่าภาษีเงินได้
เงินรายได้จากการขายทอดตลาดอสังหาริมทรัพย์เป็นเงินได้พึงประเมินตามประมวลรัษฎากร มาตรา 40 (8) และผู้ซื้อเป็นผู้จ่ายเงินได้พึงประเมิน มีหน้าที่หักภาษีเงินได้ตามมาตรา 50 (5) (ข) และนำส่งต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ผู้รับจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมในขณะที่มีการจดทะเบียนตามมาตรา 52 วรรค 2 เมื่อผู้ซื้อได้จ่ายเงินตามสัญญาขายทอดตลาดและมอบเงินที่ผู้ซื้อมีหน้าที่หักไว้เป็นภาษีแก่เจ้าพนักงานบังคับคดีด้วย เงินจำนวนดังกล่าวเป็นภาษีเงินได้ที่ผู้ซื้อจะต้องนำส่งต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ผู้รับจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมถือไม่ได้ว่าเป็นเงินรายได้สุทธิที่ได้จากการขายทอดตลาดที่จะนำไปจ่ายแก่เจ้าหนี้ตามคำพิพากษา โจทก์ไม่มีสิทธิขอรับเงินจำนวนดังกล่าว.
ย่อยาว
คดีสืบเนื่องมาจาก ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสามชำระหนี้แก่โจทก์ หากไม่ชำระหรือชำระหนี้ไม่ครบถ้วน ให้ยึดทรัพย์ที่จำนองออกขายทอดตลาด เอาเงินชำระหนี้โจทก์ จำเลยทั้งสามไม่ชำระหนี้แก่โจทก์ตามคำพิพากษา โจทก์นำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดที่ดินรวม ๑๐ โฉนดของจำเลยที่ ๑ ซึ่งจำนองไว้กับโจทก์ออกขายทอดตลาด เจ้าพนักงานบังคับคดีทำบัญชีแสดงรายการรับจ่ายในคดีแล้วยอมจ่ายเงินแก่โจทก์ ๙๓๒,๒๑๖ บาท ๘๒ สตางค์ และกันเงิน ๒๓,๘๗๐ บาท ๑๘ สตางค์ ไว้เป็นค่าภาษีเงินได้จากการขายอสังหาริมทรัพย์
โจทก์ยื่นคำร้องว่า การขายทอดตลาดที่ดินรวม ๑๐ โฉนดได้เงิน ๖๔๖,๕๐๐ บาท เจ้าพนักงานที่ดินได้จดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์และเรียกเก็บภาษีจากผู้ซื้อไว้แล้วรวม ๔ โฉนด เป็นเงิน ๑๐,๐๙๑ บาท ๒๐ สตางค์ และที่เจ้าพนักงานที่ดินจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์แล้ว แต่ยังไม่ได้เรียกเก็บภาษีรวม ๔ โฉนด และที่ยังไม่ได้จดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์รวม ๒ โฉนด จำนวนเงินค่าภาษีที่เจ้าพนักงานที่ดินไม่ได้เรียกเก็บถือว่าเป็นภาษีอากรค้างจ่าย เจ้าพนักงานบังคับคดีจะคิดหักจากเงินที่ได้จากการขายทอดตลาดไม่ได้ เจ้าพนักงานบังคับคดีไม่ใช่พนักงานเจ้าหน้าที่ผู้มีหน้าที่เรียกเก็บภาษี เจ้าพนักงานที่ดินชอบที่จะเรียกเก็บภาษีจากผู้ซื้อทรัพย์ในขณะจดทะเบียนรับโอนกรรมสิทธิ์ขอให้สั่งเจ้าพนักงานบังคับคดีจ่ายเงินที่กันไว้เป็นค่าภาษีจำนวน ๒๓,๘๗๐ บาท ๑๘ สตางค์ แก่โจทก์
กรมสรรพากรผู้ร้องยื่นคำร้องคัดค้านว่า เจ้าพนักงานบังคับคดีจำหน่ายทรัพย์สินของจำเลย เงินที่ได้จากการขายทอดตลาดย่อมเป็นเงินได้ของจำเลย ซึ่งจำเลยมีหน้าที่ชำระค่าภาษีเงินได้จำนวนดังกล่าว และเจ้าพนักงานบังคับคดีจัดการจำหน่ายทรัพย์แทนจำเลยและผู้ซื้อ ผู้ซื้อมีหน้าที่จะต้องหักภาษี ณ ที่จ่ายและนำส่ง โดยให้เจ้าพนักงานบังคับคดีเป็นผู้หักภาษี ณ ที่จ่ายและนำส่งแทน เป็นการปฏิบัติที่ถูกต้องชอบด้วยกฎหมายแล้ว ขอให้ยกคำร้องของโจทก์
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วมีคำสั่งยกคำร้องของโจทก์
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้เจ้าพนักงานบังคับคดีคืนเงิน ๒๓,๘๗๐ บาท ๑๘ สตางค์แก่โจทก์
ผู้ร้องฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีนี้ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสามชำระหนี้แก่โจทก์ หากไม่ชำระหรือชำระไม่ครบถ้วนให้ยึดที่ดินที่จำนองออกขายทอดตลาดเอาเงินชำระหนี้โจทก์ จำเลยทั้งสามไม่ชำระหนี้ตามคำพิพากษา โจทก์นำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างของจำเลยที่ ๑ รวม ๑๐ โฉนด เมื่อวันที่ ๒๘ มิถุนายน ๒๕๒๕ เจ้าพนักงานบังคับคดีได้ขายทอดตลาดที่ดินโฉนดที่ ๑๒๖๔๓,๑๒๖๔๘, ๑๒๖๕๑, ๑๒๖๕๒ ตำบลชะอำ อำเภอชะอำ จังหวัดเพชรบุรี ได้เงินจากการขายทอดตลาด ๓๖๖,๕๐๐ บาทเมื่อวันที่ ๑๕ ตุลาคม ๒๕๒๕ ได้ขายทอดตลาดที่ดินโฉนดที่ ๑๒๖๔๔, ๑๒๕๔๕, ๑๒๖๔๗, ๑๒๖๔๙, ๑๒๖๕๐ ตำบลชะอำ อำเภอชะอำ จังหวัดเพชรบุรี ได้เงินจากการขายทอดตลาด ๖๔๖,๕๐๐ บาท ผู้ซื้อหักภาษีนำส่งต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ผู้รับจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมในขณะที่มีการจดทะเบียนไปแล้ว คือที่ดินโฉนดที่ ๑๒๖๔๖ ภาษีเงินได้ ๒,๓๐๒ บาท ๗๒ สตางค์ โฉนดที่ ๑๒๖๔๗ ภาษีเงินได้ ๒,๔๗๕ บาท ๒๐ สตางค์ โฉนดที่ ๑๒๖๔๙ ภาษีเงินได้ ๒,๗๓๗ บาท ๒๘ สตางค์ และโฉนดที่ ๑๒๖๕๐ ภาษีเงินได้ ๒,๕๗๖ บาท รวมภาษีเงินได้ที่นำส่งแล้วเป็นเงิน ๑๐,๐๙๑ บาท ๒๐ สตางค์ ภาษีเงินได้ที่ผู้ซื้อยังมิได้นำส่งในขณะที่มีการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรม คือที่ดินโฉนดที่ ๑๒๖๔๓ ภาษีเงินได้ ๒,๒๗๘ บาทโฉนดที่ ๑๒๖๔๘ ภาษีเงินได้ ๒,๒๒๙ บาท โฉนดที่ ๑๒๖๕๑ ภาษีเงินได้ ๒,๒๒๙ บาท และโฉนดที่ ๑๒๖๕๒ ภาษีเงินได้ ๒,๒๔๑ บาท รวมภาษีเงินได้ที่ยังมิได้นำส่งเป็นเงิน ๘,๙๗๗ บาท และที่ยังไม่ได้จดทะเบียนสิทธิและนิติกรรม คือที่ดินโฉนดที่ ๑๒๖๔๔ ภาษีเงินได้ ๒,๔๗๔ บาท ๔๙ สตางค์ โฉนดที่ ๑๒๖๔๕ ภาษีเงินได้ ๒,๓๒๗ บาท ๔๙ สตางค์ รวมเป็นเงิน ๔,๘๐๑ บาท ๙๘ สตางค์ ปรากฏตามบัญชีรับจ่ายครั้งที่ ๓ ของเจ้าพนักงานบังคับคดี รวมภาษีเงินได้เป็นเงิน ๒๓,๘๗๐ บาท ๑๘ สตางค์ ที่ผู้ร้องฎีกาว่า โจทก์ไม่มีสิทธิคัดค้านคำสั่งเจ้าพนักงานบังคับคดีที่ให้กันเงินจากการขายทอดตลาดไว้เป็นค่าภาษีเงินได้และคำคัดค้านของโจทก์เคลือบคลุมนั้น พิเคราะห์แล้วเห็นว่า โจทก์เป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษา เป็นผู้มีส่วนได้เสียในการบังคับคดีตามคำพิพากษา โจทก์มีสิทธิคัดค้านคำสั่งเจ้าพนักงานบังคับคดีที่ให้กันเงินจากการขายทอดตลาดไว้เป็นค่าภาษีเงินได้ และคำร้องของโจทก์ได้กล่าวโดยแจ้งชัดแล้วว่า เจ้าพนักงานบังคับคดีไม่มีสิทธิ์กันเงินที่ได้จากการขายทอดตลาดจำนวนดังกล่าวไว้เป็นค่าภาษีเงินได้ คำร้องของโจทก์ไม่เคลือบคลุม
ผู้ร้องฎีกาว่า จำเลยเป็นผู้มีเงินได้จากการขายทอดตลาดผู้ซื้ออสังหาริมทรัพย์จากการขายทอดตลาดเป็นผู้มีหน้าที่หักภาษีเงินได้นำส่งเจ้าพนักงานประเมิน เมื่อผู้ซื้อได้ชำระไว้กับเจ้าพนักงานบังคับคดี เจ้าพนักงานบังคับคดีจึงมีสิทธิ์กันเงินที่ได้จากการขายทอดตลาดเป็นค่าภาษี เพื่อนำส่งต่อเจ้าพนักงานประเมินแทนผู้ซื้อได้นั้น เห็นว่าเงินได้จากการขายทอดตลาดอสังหาริมทรัพย์ เป็นเงินได้พึงประเมินตามประมวลรัษฎากร มาตรา ๔๐(๘) และผู้ซื้อเป็นผู้จ่ายเงินได้พึงประเมิน มีหน้าที่หักภาษีเงินได้ตามมาตรา ๕๐ (๕) (ข) และนำส่งต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ผู้รับจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมในขณะที่มีการจดทะเบียนตามมาตรา ๕๒ วรรค ๒ เมื่อผู้ซื้อได้จ่ายเงินตามสัญญาขายทอดตลาดและมอบเงินที่ผู้ซื้อมีหน้าที่หักไว้เป็นภาษีแก่เจ้าพนักงานบังคับคดีด้วย และปรากฏว่าได้นำส่งในขณะที่มีการจดทะเบียนไปแล้ว ๔ โฉนดเป็นเงิน ๑๐,๐๙๑ บาท ๒๐ สตางค์ แต่อีก ๔ โฉนด มิได้นำส่งในขณะที่มีการจดทะเบียน เป็นเงิน ๘,๙๗๗ บาท ยังไม่ได้จดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมอีก ๒ โฉนด เป็นเงิน ๔,๘๐๑ บาท ๙๘ สตางค์ เงินจำนวนดังกล่าวเป็นภาษีเงินได้ที่ผู้ซื้อจะต้องนำส่งต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ผู้รับจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรม ถือไม่ได้ว่าเป็นเงินรายได้สุทธิที่ได้จากการขายทอดตลาดที่จะนำไปจ่ายแก่เจ้าหนี้ตามคำพิพากษา โจทก์จึงไม่มีสิทธิที่จะขอรับเงินจำนวนดังกล่าว
พิพากษากลับ ยกคำร้องของโจทก์ตามคำสั่งของศาลชั้นต้น.