คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3100/2551

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

คำว่า มูลคดี ตามที่บัญญัติใน ป.วิ.พ. มาตรา 4 นั้น หมายถึง มูลเหตุซึ่งเป็นที่มาแห่งการโต้แย้งสิทธิอันจะทำให้เกิดอำนาจฟ้องแก่โจทก์ คดีนี้โจทก์ฟ้องจำเลยทั้งสองเรียกค่าสินค้าฝากขายที่จำเลยทั้งสองค้างชำระอันเนื่องจากโจทก์ตั้งให้จำเลยทั้งสองเป็นตัวแทนจำหน่ายสินค้าที่โจทก์ผลิตในจังหวัดพัทลุง โดยพนักงานของโจทก์เป็นผู้ติดต่อกับจำเลยทั้งสองที่จังหวัดพัทลุง แม้มิได้ทำสัญญาเป็นลายลักษณ์อักษรไว้ แต่จำเลยทั้งสองก็ได้แสดงเจตนาสนองรับเป็นตัวแทนที่จังหวัดพัทลุงนั้นเอง ดังนั้น สัญญาที่เป็นมูลเหตุให้เกิดสิทธิฟ้องร้องของโจทก์จึงเกิดขึ้นที่จังหวัดพัทลุง ซึ่งอยู่ในเขตอำนาจศาลจังหวัดพัทลุง ส่วนที่ตั้งของสำนักงานโจทก์เป็นเพียงสถานที่ที่พนักงานโจทก์ทำงานอยู่ในเวลาที่จำเลยทั้งสองโทรศัพท์มาติดต่อเพื่อให้ส่งสินค้าเท่านั้น ซึ่งสถานที่ที่เกี่ยวข้องกับการติดต่อส่งสินค้าไม่ใช่ติดต่อทำสัญญา ย่อมไม่ใช่สถานที่ที่มูลคดีเกิด
การรับสภาพหนี้โดยการทำเป็นหนังสือเป็นนิติกรรมฝ่ายเดียวที่ลูกหนี้กระทำได้เองโดยสมบูรณ์ เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยที่ 2 ลงลายมือชื่อในหนังสือรับสภาพหนี้ที่จังหวัดพัทลุง หนังสือรับสภาพหนี้ก็มีผลโดยสมบรูณ์ทันที ศาลแขวงดุสิตจึงไม่ใช่ศาลที่มีเขตอำนาจ ศาลแขวงดุสิตจึงชอบที่จะพิพากษายกฟ้องเพื่อให้โจทก์นำคดีไปฟ้องต่อศาลที่มีเขตอำนาจต่อไป
การที่โจทก์ยื่นฟ้องจำเลยทั้งสองต่อศาลแพ่งและศาลแพ่งมีคำสั่งรับฟ้องไว้แล้ว ต่อมาศาลแพ่งมีคำสั่งให้โอนคดีมายังศาลแขวงดุสิตตามพระธรรมนูญศาลยุติธรรม มาตรา 16 วรรคสี่ และศาลแขวงดุสิตรับคดีไว้พิจารณา ไม่ถือว่าศาลแพ่งใช้ดุลพินิจรับคดีที่ไม่ได้อยู่ในเขตอำนาจไว้พิจารณาตามพระธรรมนูญศาลยุติธรรม มาตรา 16 วรรคสาม เพราะโจทก์ไม่ได้บรรยายฟ้องว่าคดีนี้ไม่อยู่ในเขตอำนาจของศาลแพ่ง ส่วนที่ศาลแขวงดุสิตรับคดีนี้ไว้พิจารณาก็เป็นไปตามพระธรรมนูญศาลยุติธรรม มาตรา 16 วรรคสี่ ไม่ใช่เป็นเรื่องที่ศาลแขวงดุสิตใช้ดุลพินิจรับคดีนี้ไว้พิจารณาเอง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันหรือแทนกันคืนสินค้าแก่โจทก์ หากคืนไม่ได้ให้ชำระเงิน 264,484.44 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ในต้นเงิน 228,743.30 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยทั้งสองให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นนี้ให้เป็นพับ
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีปัญหาตัองวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า ศาลแขวงดุสิตซึ่งเป็นศาลชั้นต้นคดีนี้มีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีนี้หรือไม่ โดยโจทก์ฎีกาว่า มูลคดีนี้เกิดขึ้นในเขตอำนาจศาลชั้นต้น เพราะสำนักงานโจทก์ตั้งอยู่ในเขตศาลชั้นต้นโดยเมื่อจำเลยทั้งสองต้องการให้โจทก์ส่งหนังสือ ตำราและอุปกรณ์การเรียนไปให้จำเลยทั้งสอง จำเลยทั้งสองจะใช้โทรศัพท์ติดต่อมายังสำนักงานของโจทก์เพื่อสั่งให้พนักงานของโจทก์จัดส่งสินค้าไปให้จำเลยทั้งสองจำหน่าย สำนักงานของโจทก์จึงเป็นสถานที่ที่มูลคดีเกิดนั้น เห็นว่า คำว่า มูลคดี ตามที่บัญญัติในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 4 นั้น หมายถึง มูลเหตุซึ่งเป็นที่มาแห่งการโต้แย้งสิทธิอันจะทำให้เกิดอำนาจฟ้องแก่โจทก์ มูลเหตุที่โจทก์มาฟ้องจำเลยทั้งสองเป็นคดีนี้ได้ความว่า โจทก์ซึ่งเป็นผู้จัดพิมพ์หนังสือ แบบเรียน และเครื่องเขียนต่างๆ ได้ตั้งให้จำเลยทั้งสองเป็นตัวแทนจำหน่ายสินค้าที่โจทก์ผลิตในเขตจังหวัดพัทลุงโดยพนักงานของโจทก์เป็นผู้ติดต่อกับจำเลยทั้งสองที่จังหวัดพัทลุง แม้มิได้ทำสัญญาเป็นลายลักษณ์อักษรไว้ แต่จำเลยทั้งสองก็ได้แสดงเจตนาสนองรับเป็นตัวแทนที่จังหวัดพัทลุงนั้นเอง ดังนั้น สัญญาที่เป็นมูลเหตุให้เกิดสิทธิฟ้องร้องของโจทก์จึงเกิดขึ้นที่จังหวัดพัทลุง ซึ่งอยู่ในเขตอำนาจศาลจังหวัดพัทลุง มูลคดีในเรื่องนี้จึงเกิดขึ้นที่จังหวัดพัทลุง ส่วนที่ตั้งของสำนักงานโจทก์เป็นเพียงสถานที่ที่พนักงานโจทก์ทำงานอยู่ในเวลาที่จำเลยทั้งสองโทรศัพท์มาติดต่อเพื่อให้ส่งสินค้าเท่านั้น ซึ่งสถานที่ที่เกี่ยวข้องกับการติดต่อส่งสินค้าไม่ใช่ติดต่อทำสัญญาย่อมไม่ใช่สถานที่ที่มูลคดีเกิด อีกทั้งจำเลยทั้งสองมิได้มีภูมิลำเนาอยู่ในเขตศาลชั้นต้นด้วย
ส่วนที่โจทก์ฎีกาว่าหนังสือรับสภาพหนี้ทำขึ้น ณ ที่ทำการของโจทก์ซึ่งอยู่ในเขตอำนาจศาลชั้นต้น ศาลชั้นต้นจึงมีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีนั้น เห็นว่า ข้อเท็จจริงจึงฟังได้ว่า จำเลยที่ 2 ทำหนังสือรับสภาพหนี้ที่ต่างจังหวัดไม่ใช่ทำในเขตอำนาจศาลชั้นต้น ศาลชั้นต้นจึงไม่ใช่ศาลที่มีเขตอำนาจ ศาลชั้นต้นจึงชอบที่จะพิพากษายกฟ้องเพื่อให้โจทก์นำคดีไปฟ้องต่อศาลที่มีเขตอำนาจต่อไป
ที่โจทก์ฎีกาอีกว่า ข้อเท็จจริงในสำนวนถือได้ว่าศาลแพ่งและศาลชั้นต้นใช้ดุลพินิจรับคดีไว้พิจารณาแล้วนั้น เห็นว่า การที่โจทก์ยื่นฟ้องจำเลยทั้งสองต่อศาลแพ่งและศาลแพ่งมีคำสั่งรับฟ้องไว้แล้ว ต่อมาศาลแพ่งมีคำสั่งให้โอนคดีมายังศาลชั้นต้นตามพระธรรมนูญศาลยุติธรรม มาตรา 16 วรรคสี่ และศาลชั้นต้นรับคดีไว้พิจารณา ไม่ถือว่าศาลแพ่งใช้ดุลพินิจรับคดีที่ไม่ได้อยู่ในเขตอำนาจไว้พิจารณาตามพระธรรมนูญศาลยุติธรรม มาตรา 16 วรรคสาม เพราะโจทก์ไม่ได้บรรยายฟ้องว่าคดีนี้ไม่อยู่ในเขตอำนาจของศาลแพ่ง ส่วนที่ศาลชั้นต้นรับคดีนี้ไว้พิจารณาก็เป็นไปตามพระธรรมนูญศาลยุติธรรม มาตรา 16 วรรคสี่ ไม่ใช่เป็นเรื่องที่ศาลชั้นต้นใช้ดุลพินิจรับคดีนี้ไว้พิจารณาเอง ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลชั้นต้นให้ยกฟ้องนั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ

Share