คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3099/2532

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องว่าจำเลยสั่งจ่ายเช็คพิพาทชำระหนี้แก่โจทก์ เมื่อเช็คถึงกำหนดโจทก์นำเช็คเข้าบัญชีแต่ธนาคารตามเช็คปฏิเสธการจ่ายเงิน ขอให้จำเลยชำระเงินตามเช็คจำเลยให้การต่อสู้ว่าจำเลยสั่งจ่ายเช็คพิพาทให้แก่ผู้มีชื่อเพื่อเป็นประกันการชำระหนี้ตามสัญญากู้ยืมซึ่งมี ดอกเบี้ย เกินอัตราตามกฎหมายรวมอยู่ด้วย ไม่ทราบว่าเช็คพิพาทตกไปอยู่ในมือของโจทก์ได้อย่างไรโดยจำเลยมิได้กล่าวอ้างต่อสู้ว่าโจทก์รับโอนเช็คพิพาทมาโดยคบคิดกับผู้หนึ่งผู้ใดฉ้อฉลจำเลย ดังนี้ ต้องถือว่าโจทก์ได้รับโอนเช็คพิพาทมาโดยสุจริต การที่จำเลยไม่ทราบว่าโจทก์ได้รับโอนเช็คพิพาทมาอย่างไร ไม่เป็นข้อต่อสู้ที่จำเลยจะใช้ยันโจทก์ได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 905 และมาตรา 916จำเลยจึงไม่มีสิทธินำพยานเข้าสืบตามข้อต่อสู้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นผู้ทรงเช็คที่จำเลยเป็นผู้สั่งจ่ายแต่ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงิน ขอให้จำเลยใช้เงินพร้อมดอกเบี้ย
จำเลยให้การว่า โจทก์จำเลยไม่เคยมีนิติสัมพันธ์กัน จำเลยสั่งจ่ายเช็คพิพาทเป็นประกันเงินกู้ซึ่งจำเลยกู้จากผู้มีชื่อโดยเสียดอกเบี้ยร้อยละสามต่อเดือน จำเลยไม่ทราบว่าเช็คไปตกอยู่กับโจทก์ได้อย่างไร และลายมือที่ลงปีที่สั่งจ่ายในเช็คจะเป็นลายมือจำเลยหรือไม่ จำเลยไม่รับรอง
ศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นว่า โจทก์เป็นผู้ทรงเช็คพิพาทโดยชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ โจทก์มีสิทธิคิดดอกเบี้ยตามฟ้องหรือไม่ และเห็นว่าประเด็นดังกล่าวทั้งสองข้อเป็นปัญหาข้อกฎหมาย จึงให้งดสืบพยานโจทก์จำเลย แล้วพิพากษาให้จำเลยใช้เงินโจทก์พร้อมดอกเบี้ย
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีมีประเด็นที่จะต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า ศาลชั้นต้นจะต้องกำหนดประเด็นข้อพิพาทอื่นและสืบพยานหรือไม่ พิเคราะห์แล้ว ตามคำฟ้องของโจทก์และคำให้การของจำเลยฟังได้ว่า จำเลยสั่งจ่ายเช็ค ๒ ฉบับ ให้แก่ผู้ถือ ต่อมาเช็คทั้งสองฉบับนี้ตกไปอยู่ในมือของโจทก์ โจทก์นำเช็คสองฉบับนี้ไปเข้าบัญชีเพื่อเรียกเก็บเงิน แต่ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินตามเช็คทั้งสองฉบับโจทก์ได้เรียกร้องให้จำเลยชำระเงินตามเช็ค แต่จำเลยไม่ชำระ จำเลยต่อสู้ว่า เช็คพิพาททั้งสองฉบับนั้นจำเลยเป็นผู้สั่งจ่ายจริง แต่เป็นเช็คประกันเงินกู้ ซึ่งจำเลยกู้จากผู้มีชื่อ โดยเสียดอกเบี้ยในอัตราร้อยละสามต่อเดือน จำเลยไม่เคยค้างชำระดอกเบี้ย เพิ่งค้างชำระเมื่อโจทก์ไปร้องทุกข์ดำเนินคดีอาญาแก่จำเลยเมื่อเดือนพฤษภาคม ๒๕๓๐ เป็นต้นมาเท่านั้น จำเลยไม่ทราบว่าเช็คพิพาททั้งสองฉบับตกไปอยู่ในมือของโจทก์ได้อย่างไร จำเลยไม่มีหน้าที่ต้องใช้เงินแก่โจทก์ตามเช็คพิพาททั้งสองฉบับนั้น ศาลฎีกาเห็นว่า แม้จำเลยให้การต่อสู้เป็นทำนองว่า จำเลยสั่งจ่ายเช็คพิพาททั้งสองฉบับให้แก่ผู้มีชื่อเพื่อเป็นประกันการชำระหนี้ตามสัญญากู้ยืมเงินซึ่งมีดอกเบี้ยเกินอัตราที่กฎหมายกำหนดรวมอยู่ด้วยก็ตาม แต่จำเลยไม่ได้กล่าวอ้างต่อสู้ว่า โจทก์รับโอนเช็คพิพาททั้งสองฉบับนั้นมาโดยคบคิดกับผู้มีชื่อหรือผู้หนึ่งผู้ใดเพื่อฉ้อฉลจำเลย จำเลยคงอ้างแต่เพียงว่า ไม่ทราบว่าเช็คพิพาททั้งสองฉบับนั้นไปตกอยู่ในมือของโจทก์ได้อย่างไร ดังนั้นในเบื้องต้นจึงต้องถือว่าโจทก์ได้รับเช็คพิพาททั้งสองฉบับมาโดยสุจริต การที่จำเลยไม่ทราบว่าโจทก์ได้รับเช็คพิพาททั้งสองฉบับมาอย่างไร จึงไม่เป็นข้อต่อสู้ที่จำเลยจะยกขึ้นใช้ยันโจทก์ได้ ตามมาตรา ๙๐๕ และมาตรา ๙๑๖ แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชยดังนั้น จำเลยจึงไม่มีสิทธินำพยานเข้าสืบตามข้อต่อสู้ดังกล่าวของจำเลย และศาลชั้นต้นไม่ต้องกำหนดประเด็นข้อพิพาทที่ว่า โจทก์รับโอนเช็คพิพาททั้งสองฉบับจากผู้ทรงคนแรกโดยคบคิดกันฉ้อฉลหรือไม่และไม่จำเป็นจะต้องสืบพยานในประเด็นดังกล่าวนี้ด้วย ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามาชอบแล้ว ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน.

Share