คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3097/2536

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

จำเลยทั้งสามขาดนัดยื่นคำให้การและจำเลยได้อ้างตนเอง เบิกความเป็นพยานว่าจำเลยได้กู้เงินโจทก์จำนวน 200,000 บาท โดยออกเช็คไม่ได้ลงวันสั่งจ่ายมอบให้โจทก์ไว้เป็นหลักฐาน ต่อมาจำเลยได้โอนเงินเข้าบัญชีของโจทก์ที่ธนาคาร เป็นการ ชำระหนี้แก่โจทก์ครบถ้วนแล้ว แต่โจทก์ไม่ยอมคืนเช็คพิพาท กลับกรอกวันสั่งจ่ายแล้วนำไปเรียกเก็บเงินคำเบิกความดังกล่าว เป็นเพียงเสนอข้อเท็จจริงที่จะเป็นการหักล้างพยานโจทก์ ว่าจำเลยทั้งสามได้ชำระเงินตามเช็คพิพาทให้แก่โจทก์ แล้วหรือไม่เท่านั้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 199 วรรคสอง มิได้ก่อนให้เกินประเด็นแห่งคดีในศาลชั้นต้นการที่จำเลยทั้งสามอุทธรณ์ว่าโจทก์กรอกวันสั่งจ่ายในเช็คพิพาทโดยไม่สุจริตซึ่งไม่ได้รับความยินยอมจากผู้สั่งจ่ายและในคดีอาญาที่โจทก์ฟ้องจำเลยเกี่ยวกับเช็คพิพาทศาลวินิจฉัยว่าจำเลยมิได้ลงวันออกเช็คจึงไม่มีวันกระทำผิดพิพากษายกฟ้อง จะต้องถือข้อเท็จจริงดังกล่าวตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 46เช็คพิพาทจึงไม่สมบูรณ์ ตกเป็นโมฆะจำเลยทั้งสามไม่ต้องรับผิดนั้น จึงเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากล่าวกันมาในศาลชั้นต้น ต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 225 วรรคแรก

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 เป็นนิติบุคคลประเภทห้างหุ้นส่วนจำกัดมีจำเลยที่ 2 เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการเมื่อต้นเดือนมิถุนายน 2530 จำเลยที่ 2 ในฐานะส่วนตัวและฐานะหุ้นส่วนผู้จัดการของจำเลยที่ 1 ได้สั่งจ่ายเช็คธนาคารกรุงเทพจำกัด สาขากุมภวาปี ลงวันที่ 14 สิงหาคม 2530 จำนวนเงิน200,000 บาท ชำระหนี้เงินยืมให้แก่โจทก์โดยจำเลยที่ 3เป็นผู้ลงลายมือชื่อสลักหลังเช็ค เมื่อถึงกำหนดวันสั่งจ่ายโจทก์นำเช็คไปเรียกเก็บเงิน แต่ธนาคารตามเช็คปฏิเสธการจ่ายเงินเมื่อวันที่ 18 สิงหาคม 2530 โจทก์จึงขอคิดดอกเบี้ยจากจำเลยทั้งสามร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินถึงวันฟ้องเป็นเวลา 11 เดือน เป็นเงิน 13,750 บาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 213,750 บาท ขอให้บังคับจำเลยทั้งสามร่วมกันชำระเงินจำนวนดังกล่าวกับดอกเบี้ยแก่โจทก์
จำเลยทั้งสามขาดนัดยื่นคำให้การ
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสามร่วมกันชำระเงินตามเช็คพร้อมด้วยดอกเบี้ยแก่โจทก์ จำเลยทั้งสามอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาค 1พิพากษายกอุทธรณ์จำเลยทั้งสาม จำเลยทั้งสามฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “มีปัญหาตามฎีกาของจำเลยทั้งสามว่าศาลอุทธรณ์ภาค 1 ไม่รับวินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลยทั้งสามชอบหรือไม่พิเคราะห์แล้วเห็นว่า จำเลยทั้งสามขาดนัดยื่นคำให้การและจำเลยได้อ้างตนเองเบิกความเป็นพยานว่าจำเลยได้กู้เงินโจทก์จำนวน200,000 บาท โดยออกเช็คไม่ได้ลงวันสั่งจ่ายมอบให้โจทก์ไว้เป็นหลักฐาน ต่อมาจำเลยได้โอนเงินเข้าบัญชีของโจทก์ที่ธนาคารกรุงเทพ จำกัด สาขาบ้านไผ่ เป็นการชำระหนี้แก่โจทก์ครบถ้วนแล้ว แต่โจทก์ไม่ยอมคืนเช็คพิพาทกลับกรอกวันสั่งจ่ายแล้วนำไปเรียกเก็บเงิน ซึ่งคำเบิกความดังกล่าว เป็นเพียงเสนอข้อเท็จจริงที่จะเป็นการหักล้างพยานโจทก์ว่า จำเลยทั้งสามได้ชำระเงินตามเช็คพิพาทให้แก่โจทก์แล้วหรือไม่เท่านั้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 199 วรรคสองมิได้ก่อให้เกิดประเด็นแห่งคดีในศาลชั้นต้น การที่จำเลยทั้งสามอุทธรณ์ว่าโจทก์กรอกวันสั่งจ่ายในเช็คพิพาทโดยไม่สุจริตซึ่งไม่ได้รับความยินยอมจากผู้สั่งจ่าย และในคดีอาญาที่โจทก์ฟ้องจำเลยเกี่ยวกับเช็คพิพาท ศาลวินิจฉัยว่า จำเลยมิได้ลงวันออกเช็คจึงไม่มีวันกระทำผิดพิพากษายกฟ้อง จะต้องถือข้อเท็จจริงดังกล่าวตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 46 เช็คพิพาทจึงไม่สมบูรณ์ ตกเป็นโมฆะจำเลยทั้งสามไม่ต้องรับผิด จึงเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากล่าวกันมาในศาลชั้นต้น ต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 225 วรรคแรกศาลอุทธรณ์ภาค 1 ไม่รับวินิจฉัยให้นั้นชอบแล้ว”
พิพากษายืน

Share