คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3096/2536

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

เจ้าพนักงานตำรวจในตำแหน่งที่กฎหมายบัญญัติว่ามีฐานะเป็นพนักงานสอบสวนย่อมมีฐานะเป็น พนักงานสอบสวนตลอดเวลาที่ยังดำรงตำแหน่งดังกล่าว ส่วนการที่จะต้องเข้าเวรปฏิบัติหน้าที่พนักงานสอบสวนในวันเวลาใดเป็นเพียงระเบียบหรือข้อบังคับภายในของหน่วยราชการซึ่งไม่มีผลทำให้เจ้าพนักงานตำรวจในตำแหน่งพนักงานสอบสวน ในขณะที่ไม่ได้เข้าเวรปฏิบัติหน้าที่พนักงานสอบสวนไม่มีฐานะเป็นพนักงานสอบสวน ดังนั้น การที่ร้อยตำรวจเอก ป. รับแจ้งความร้องทุกข์จากโจทก์ร่วมในขณะที่ยังไม่ได้เข้าเวรปฏิบัติหน้าที่พนักงานสอบสวน ก็ต้องถือว่าร้อยตำรวจเอก ป. มีฐานะเป็นพนักงานสอบสวนในขณะที่รับแจ้งความร้องทุกข์ การสอบสวนของร้อยตำรวจเอก ป. ย่อมชอบด้วยกฎหมายพนักงานอัยการจึงมีอำนาจฟ้องคดี

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสี่ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 83, 91, 335, 352, 353 ให้จำเลยทั้งสี่ร่วมกันคืนทรัพย์ที่ลักและยักยอกไปหรือใช้ราคา 588,066 บาท แก่เจ้าของ
จำเลยทั้งสี่ให้การปฏิเสธ
ระหว่างพิจารณา ผู้เสียหายขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ศาลชั้นต้นอนุญาต
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยที่ 1 ที่ 3 ที่ 4 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 335 (ที่ถูกมาตรา 335 วรรคสาม)ให้ลงโทษจำคุกจำเลยที่ 1 ที่ 4 คนละ 1 ปี ส่วนจำเลยที่ 3กระทำความผิด 5 กระทง ลงโทษจำคุกกระทงละ 1 ปี รวม 5 ปีและจำเลยที่ 2 ที่ 3 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 353ให้ลงโทษจำคุกคนละ 1 ปี รวมจำคุกจำเลยที่ 3 มีกำหนด 6 ปีคำรับสารภาพชั้นจับกุมของจำเลยที่ 1 ที่ 2 ที่ 3 กับคำรับสารภาพชั้นสอบสวนของจำเลยที่ 1 ที่ 2 เป็นประโยชน์แก่การพิจารณามีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้คนละ 1 ใน 4 คงจำคุกจำเลยที่ 1 ที่ 2มีกำหนดคนละ 9 เดือน จำคุกจำเลยที่ 3 มีกำหนด 4 ปี 6 เดือนจำคุกจำเลยที่ 4 มีกำหนด 1 ปี และให้จำเลยที่ 1 คืนน้ำดื่มตราสิงห์ 2 ลัง ขวดโซดา กับขวดน้ำดื่มตราสิงห์ 3 ลังหรือใช้ราคา 600 บาท แก่โจทก์ร่วม ให้จำเลยที่ 2 คืนเงิน1,599 บาท แก่โจทก์ร่วม ให้จำเลยที่ 3 คืนสุราแม่โขงชนิดขวดกลมจำนวน 5 โหล สุราแม่โขงชนิดขวดแบนจำนวน 3 โหล และเบียร์ตราสิงห์จำนวน 8 โหล หรือใช้ราคา 9,987 บาท แก่โจทก์ร่วมโดยให้จำเลยที่ 4 ร่วมกับจำเลยที่ 3 คืนสุราแม่โขงชนิดขวดกลมจำนวน 4 โหล หรือใช้ราคา 3,552 บาท แก่โจทก์ร่วม คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก
จำเลยที่ 3 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยที่ 3 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่จำเลยที่ 3 ฎีกาว่าร้อยตำรวจเอกประเวศน์พนักงานสอบสวน ไม่มีอำนาจสอบสวนคดีนี้เนื่องจากในขณะที่ร้อยตำรวจเอกประเวศน์รับแจ้งความร้องทุกข์จากโจทก์ร่วม ร้อยตำรวจเอกประเวศน์ยังไม่ได้เข้าเวรปฏิบัติหน้าที่พนักงานสอบสวน การสอบสวนไม่ชอบด้วยกฎหมาย โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 120นั้น ศาลฎีกาเห็นว่าเจ้าพนักงานตำรวจในตำแหน่งที่กฎหมายบัญญัติว่ามีฐานะเป็นพนักงานสอบสวน ย่อมมีฐานะเป็นพนักงานสอบสวนตลอดเวลาที่เจ้าพนักงานตำรวจผู้นั้นยังดำรงตำแหน่งดังกล่าวการที่เจ้าพนักงานตำรวจในตำแหน่งพนักงานสอบสวนผู้ใดจะต้องเข้าเวรปฏิบัติหน้าที่พนักงานสอบสวนในวันเวลาใด เป็นเพียงระเบียบหรือข้อบังคับภายในของหน่วยราชการที่เจ้าพนักงานตำรวจในตำแหน่งพนักงานสอบสวนผู้นั้นสังกัดอยู่ ซึ่งระเบียบหรือข้อบังคับภายในดังกล่าวไม่มีผลทำให้เจ้าพนักงานตำรวจในตำแหน่งพนักงานสอบสวนในขณะที่ไม่ได้เข้าเวรปฏิบัติหน้าที่พนักงานสอบสวนไม่มีฐานะเป็นพนักงานสอบสวน ดังนั้นแม้จะฟังข้อเท็จจริงว่าในขณะที่ร้อยตำรวจเอกประเวศน์รับแจ้งความร้องทุกข์จากโจทก์ร่วมร้อยตำรวจเอกประเวศน์ยังไม่ได้เข้าเวรปฏิบัติหน้าที่พนักงานสอบสวน ก็ต้องถือว่าร้อยตำรวจเอกประเวศน์มีฐานะเป็นพนักงานสอบสวนในขณะที่รับแจ้งความร้องทุกข์จากโจทก์ร่วมการสอบสวนของร้อยตำรวจเอกประเวศน์ในคดีนี้เป็นการสอบสวนที่ชอบด้วยกฎหมาย โจทก์จึงมีอำนาจฟ้อง ฎีกาของจำเลยที่ 3ในปัญหานี้ฟังไม่ขึ้น ส่วนที่จำเลยที่ 3 ฎีกาว่า ศาลอุทธรณ์รับฟังพยานหลักฐานในกระทงความผิดฐานยักยอกโดยไม่ชอบด้วยวิธีพิจารณาความนั้น ศาลฎีกา เห็นว่า ตามฎีกาของจำเลยที่ 3เป็นฎีกาที่หยิบยกเอาพยานหลักฐานขึ้นกล่าวอ้างก็เพื่อให้ศาลฎีกาฟังว่าจำเลยที่ 3 ไม่ได้กระทำความผิดในกระทงความผิดดังกล่าวเป็นฎีกาโต้เถียงดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลอุทธรณ์เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคแรก ศาลฎีกาจึงไม่รับวินิจฉัยให้
พิพากษายืน

Share